Search

นักวิชาการหวังครม.ใหม่ ไร้วาระซ่อนเร้นการเมือง - ฐานเศรษฐกิจ

tablo.prelol.com

การจัดโผปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ของ รัฐบาล “ประยุทธ์ 2/2” ล่าสุดลงตัวแล้ว คาดว่าจะสามารถตรวจสอบคุณสมบัติแคนดิเดต รมต.คนใหม่เสร็จสิ้นภายในสัปดาห์นี้ และจะได้เห็นโฉมหน้าราวกลางเดือนสิงหาคมนี้ 

มีความเห็นจากนักวิชาการ สะท้อนมุมมองเกี่ยวกับคุณสมบัติผู้เหมาะสมจะเป็นรัฐมนตรีในช่วงเศรษฐกิจได้รับผลกระทบอย่างหนักจากพิษโควิด-19 ว่า ควรเป็นคนที่มีความรู้ ความสามารถ เคยบริหารองค์กร ประชาชนมองแล้วมีความเชื่อมั่น ถ้าเป็นคนในต้องไม่มีวาระซ่อนเร้นทางการเมือง ทั้งหนุนให้นายกรัฐมนตรีคุมนโยบายเศรษฐกิจด้วยตนเอง 

5 คุณสมบัติรมต.ใหม่

รศ.ดร.สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ นักวิชาการอิสระด้านเศรษฐศาสตร์และการเมือง สะท้อนมุมมองเกี่ยวกับคุณสมบัติของผู้ที่จะเป็นรัฐมนตรีในการปรับครั้งนี้ว่า ประการแรก ประชาชน ดูแล้วอย่างน้อยที่สุดดูโอเคเลย เรียกว่า Trust หรือความไว้วางใจ ซึ่งจะเกี่ยวพันกับ การมีความรู้ ความสามารถ ประสบการณ์สูง และประสบความสำเร็จในการบริหารองค์กรทั้งภาครัฐและเอกชน 

สอง ต้องเป็นผู้ไม่มีนอกมีใน ไม่มีวาระการเมืองแอบแฝง ซึ่งตรงนี้ไม่จำเป็นต้องเป็นคน นอก อาจจะเป็นคนในก็ได้ แต่ปัญหาถ้าเป็นคนใน ประชาชนจะมีประเด็นคือ จะมีวาระการ เมืองแอบแฝง 

สาม เนื่องจากสถานการณ์นี้ไม่เคยมีมาก่อน ความรู้ความสามารถที่มี ไม่ได้หมาย ความว่าเขาจะประสบความสำเร็จ จึงต้องเป็นคนที่มี “Mindset” เป็นคนแอดทีฟ สามารถมองไปข้างหน้า มีความฉลาดในการใช้กลยุทธ์ใหม่ๆ ต้องยอมรับว่าสถานการณ์อย่างนี้หาคนลำบากมาก ต้องมองว่ากำลังเปลี่ยน แปลง สามารถหากลยุทธ์มา รองรับการเปลี่ยนแปลงได้    

สี่ ต้องสามารถทำงานร่วมมือกับครม.ชุดนี้ได้ และ เป็นเอกภาพ 

และข้อสุดท้าย เนื่องจากโลกมีความเปลี่ยนแปลงทางด้านเทคโนโลยี ด้านภูมิรัฐศาสตร์ ถ้ามีความรู้เรื่องความสัมพันธ์ในประเทศที่มีภูมิรัฐศาสตร์ด้วยจะเป็นส่วนช่วยได้

“คนที่จะทำหน้าที่นี้อาจจะเป็นนายกฯ แต่ก่อนเป็นนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ แต่ตอนนี้นายสมคิด ยังอยู่ไม่ได้ เพราะการกำกับดูแลกระทรวงเศรษฐกิจ คนละพรรค นายกฯ อาจจะต้องเข้ามาดูแลให้อยู่ในทิศทางเดียว กัน ขณะเดียวกันคนที่เข้ามาใหม่ อย่างน้อยที่สุดก็ต้องปรับเรื่องการดำเนินนโยบายให้สอด คล้องและมีจุดยืนของตนเอง” 

ห่วงซ่อนเร้นการเมือง

รศ.ดร.สมชาย มองว่า หากในกรณีที่ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ มาคุมพลังงานในด้านความรู้ความสามารถผ่าน แต่สิ่งที่ประชาชนเกรงที่สุด คืออาจจะมีวาระทางการเมือง ในกรณีกระทรวงพลังงานจะเป็นประเด็นซ่อนเร้น ถ้าเป็นไปได้ให้เป็นบุคคลภายนอกที่มีความรู้ความสามารถ 

ส่วนกรณีที่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เสนอชื่อ  นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ เป็น รมว.พลังงาน ด้านหนึ่งนายกฯ อาจถูกแรงกดดันจากตรงนี้สูงมากเพราะเป็นคนในพรรค การเมือง ทางออกทางการเมืองคิดว่าจะต้องมีมาตรการคุมเข้มเพื่อป้องกันการมีวาระแอบแฝง ประชาชนจะมีความรู้สึกว่าทำไมต้องเป็นแบบนี้ต้องมีการเจรจาและหาทางลง  อาจหมายถึงการมองภาพรวมของผลประโยชน์ 

อย่างไรก็ดี แม้นายกฯ จะมีแรงกดดันทางการเมือง แต่นายกฯ มีจุดแข็งอย่างหนึ่งคือ ยังมีอำนาจต่อรอง เพราะคนที่จะมาแทนนายกฯตอนนี้ไม่มีเลย ประชาชนยังให้ความเชื่อมั่น
วันนี้จะยิ่งทำให้นายกฯ มีอำนาจต่อรอง ถ้าได้ทีมที่ต้องการก็จะทำได้ในระดับหนึ่ง แต่ถ้าไม่มี การบริหารของนายกฯ จะค่อนข้างยาก 


หนุน“รมต.ศก.”คนนอก 

ด้าน รศ.ดร.ยุทธพร อิสรชัย คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช  (มสธ.) ให้แง่คิดว่า การปรับครม.ครั้งนี้ไม่ใช่แค่การปรับครม.เพื่อตอบสนองคำขอเรื่องโควตารมต. ทั้งการต่อรองในพรรค พลังประชารัฐ หรือในพรรคร่วมรัฐบาล แต่การปรับครม.ครั้งนี้เป็นการปรับในเชิงยุทธศาสตร์ คือเป็นการปรับเพื่อแก้ปัญหา การฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังวิกฤติ
โควิด-19  

เมื่อเป็นการปรับในเชิงยุทธศาสตร์ จะเห็นว่ารัฐบาลมีพร้อมหมดแล้วในเรื่องเครื่องไม้เครื่องมือ ไม่ว่า พ.ร.บ. 3 ฉบับ หรือกฎหมายงบประมาณฯ ปี 2564 ที่น่าจะผ่านในวาระที่ 2-3 ไม่ยากนัก ที่ยังขาดคือ การหาคนมาวางให้ถูกกับงานและวางให้เหมาะกับที่เชี่ยวชาญ 

การที่จะต้องอาศัยรมต.ที่มีความรู้ความสามารถ ความเชี่ยวชาญและมีผลงานเป็นที่ประจักษ์ หรือได้รับการยอมจากสังคม จึงเป็นสิ่งที่มีความสำคัญมาก โควตารัฐมนตรีจึงเป็นประเด็นที่ควรถูกพูดถึงทำให้ น้อยที่สุดในกระบวนการปรับครม. แต่ในการเมืองไทยเราคงหลีกเลี่ยงเรื่องโควตารัฐมนตรีไม่ได้ เพราะระบบสังคมไทยอยู่ในโครงสร้างอุปถัมภ์

แนะปรับครม.2 ขยัก

นักวิชาการรัฐศาสตร์ มสธ. มองว่า การปรับครม.ครั้งนี้ควรปรับ 2 จังหวะ คือจังหวะที่หนึ่งอาจเป็นการปรับเล็ก แทนรมต.ที่ลาออกไป 5-6 ตำแหน่ง อาจจะเป็นพื้นที่ของคนนอกเป็นส่วนใหญ่ เมื่อสถานการณ์เป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น การแก้ปัญหาโควิดเป็นไปในทางบวก ไม่ได้เลวร้ายลงไป อาจจะช่วงปลายปีนี้หรือต้นปีหน้าอาจจะมีการขยับปรับเปลี่ยนด้วยการปรับครม.อีกครั้ง ซึ่งตอนนั้นอาจจะเป็นโควตารมต.ในสัดส่วนของแต่ละพรรคเข้ามาเกี่ยวข้อง 

ถ้าเป็นอย่างนี้จะทำให้การเมืองเดินหน้าต่อได้ เพราะอย่าลืมว่าสิ่งสำคัญมันมีการ เมืองทั้งในสภาและนอกสภา มีการชุมนุมของนิสิต นักศึกษา ถ้าไม่มีการปรับครม.ที่ไม่ตอบสนองและแก้ปัญหาได้ดี ไม่ได้รับการยอมรับ ไม่มีความชอบธรรมทางการเมือง ก็จะเกิดปัญหาได้ทั้งในสภาและนอกสภาได้ในที่สุด

นายกฯควรคุมศก.เอง

รศ.ดร.ยุทธพร กล่าวอีกว่า ครม.ที่จะเข้ามาในการปรับครั้งนี้ ต้องพิจารณาคุณสมบัติที่เหมาะสม ในส่วนครม.เศรษฐกิจต้องเป็นบุคคลที่ได้รับการเชื่อมั่น ความเชื่อถือจากประชาชน ในการเข้ามาทำหน้าที่ เป็นผู้มีความรู้ความสามารถโดยเฉพาะในกระทรวงเศรษฐกิจ ณ วันนี้ไม่ได้เป็นเฉพาะกระทรวงการคลังเท่านั้น ช่วงก่อนปี 2540 เรามักจะถามหาขุนคลัง ก็คือรมว.กระทรวงการคลัง 

แต่หลังปี 2540 เป็นต้นมา เรื่องของรัฐมนตรีเศรษฐกิจไม่ใช่เรื่องของ รมว.กระทรวงการคลังคนเดียว แค่เป็นลักษณะการบูรณาการไปยังกระทรวงอื่นด้วย เช่น กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงพลังงาน เมื่อเป็นเช่นนี้มันก็จะสะท้อนภาพว่า การที่จะมี รมต. ที่ได้การยอมรับในกระทรวงเศรษฐกิจเหล่านี้ เป็นสิ่งที่สังคมคาดหวัง ดังนั้นพื้นที่เหล่านี้ไม่ควรเป็นพื้นที่ของนักการเมือง 

ส่วนกรณีที่มีการเสนอชื่อ “บิ๊กป้อม” เป็นมท.1 โอกาสที่จะถูกวิพากษ์วิจารณ์จะสูงมาก เพราะภาพลักษณ์ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ไม่ได้รับการตอบรับเท่าที่ควร ถ้า พล.อ.ประวิตรมาภาษาวัยรุ่นเขาเรียกว่า “ทัวร์ลง” อาจไม่จำเป็นจริงๆ ไม่น่าถึงขั้นนั้น แต่ถ้า พล.อ.ประวิตร มานั่งในตำแหน่ง มท.1 นั่นคือสัญญาณบอกว่าใกล้ถึง “ยุบสภา” เพราะก่อนยุบสภา กลไกของมหาดไทย ไม่ว่าฝ่ายปกครอง หรือกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน สำคัญมาก ถ้ามีชื่อ พล.อ.ประวิตร คงใช้แค่เลือกตั้งท้องถิ่น แต่มีโอกาสยุบสภา แต่คิดว่าไม่น่ามียุบสภาช่วงนี้

ต้องสร้างสมดุลย์ 2 ส่วน

ดร.สติธร ธนานิธิโชติ ผู้อำนวยการสำนักนวัตกรรมเพื่อประชาธิปไตย สถาบันพระปกเกล้า มองว่า การปรับครม.ต้องสร้างสมดุลย์ 2 ส่วน คือ เศรษฐกิจแท้ๆ ต้องใช้คนที่มีความรู้เรื่องเศรษฐกิจพอสมควร ดูจากบุคลากรที่พรรคฝ่ายรัฐบาลมี ไม่น่าจะเหลือใครแล้ว ยังไงก็ต้องเป็นคนนอก ส่วนนักการเมืองจะมีจุดแข็งในเรื่องการเข้าถึงประชาชน เพราะเขารู้ว่าประชาชนต้องการอะไร  

ในช่วงวิกฤติโควิด ต้อง การหัวหน้ารัฐบาลมานำทัพ นอกจากนั้นก็จะมีทีมที่เป็นรัฐมนตรีเศรษฐกิจเป็นแบล็กอัพ ส่วนกระทรวงอื่นๆ จะเป็นสายสังคม หรือสายพัฒนาอื่นๆ เอาไว้เชื่อมโยงนโยบายต่างๆ เป็นนักการเมืองก็ได้ ไม่ต้องไปแย่งกระทรวงกัน จะลงตัวกว่า

“คนเก่ง คนมีความรู้ มีเยอะ แต่ต้องเป็นคนที่คุยกับนายกฯ รู้เรื่องด้วย ที่สุดคงไม่พ้นที่นายกฯ จะต้องเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ดูกระทรวงเศรษฐกิจโดยตรง ยิ่งกระทรวงพลังงานที่มีปัญหาไม่ลงตัว นายกฯ นั่งควบไปเลยจะดีกว่า ไม่ต้องควบกลาโหม จะได้จบ” ดร.สติธร ให้แง่คิดในตอนท้าย 

หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3,596 หน้า 12 วันที่ 30 กรกฎาคม - 1 สิงหาคม 2563


Let's block ads! (Why?)



"จะต้องเป็น" - Google News
July 31, 2020 at 11:15AM
https://ift.tt/3jU5tXf

นักวิชาการหวังครม.ใหม่ ไร้วาระซ่อนเร้นการเมือง - ฐานเศรษฐกิจ
"จะต้องเป็น" - Google News
https://ift.tt/3bIgTZQ
Mesir News Info
Israel News info
Taiwan News Info
Vietnam News and Info
Japan News and Info Update
https://ift.tt/2YEtTvL

Bagikan Berita Ini

0 Response to "นักวิชาการหวังครม.ใหม่ ไร้วาระซ่อนเร้นการเมือง - ฐานเศรษฐกิจ"

Post a Comment

Powered by Blogger.