ห้ามใช้ผิดวัตถุประสงค์ ‘ศรี’ บี้กรมปค.ให้เอาผิด โพสต์เฟซขอรับบริจาค ‘แฮงค์’ ปัดวุ่นปมนฤมล แค่ดูเศรษฐกิจในพรรค
นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกพรรคพลังประชารัฐ โพสต์เฟซบุ๊ก “ดร.ธนกร วังบุญคงชนะ” ว่า เป็นวันสุดท้ายของการทำหน้าที่โฆษกพรรคพลังประชารัฐ ต้องขอบคุณนายอุตตม สาวนายน อดีตหัวหน้าพรรค นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ อดีตเลขาธิการพรรค ที่ให้โอกาสทำหน้าที่มา 1 ปี ขอแสดงความยินดีกับคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ การเป็นกระบอก เสียงพรรค มีหน้าที่ป้องกันส่วนได้ส่วนเสียของพรรค ชี้แจงข้อเท็จจริงให้พี่น้องประชาชนทราบและเข้าใจ โดยเฉพาะนโยบายหรือการทำงานของพรรคและรัฐบาล บางครั้งอาจกระทบกระทั่งกันบ้างในทางการเมือง แต่ไม่ใช่ส่วนตัว ต้องขออภัยไว้ และได้ทำหน้าที่ปกป้อง “ลุงตู่” เพราะเชื่อมั่นว่า “ลุงตู่” มุ่งมั่นและตั้งใจทำงานเพื่อประเทศและประชาชน ซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ฉะนั้นจะช่วย “ลุงตู่” ต่อไปจนกว่า “ลุงตู่” จะไม่ใช้ตน ส่วนการทำงานในตำแหน่งเลขานุการ รมว.คลัง จะทำต่อไปให้ดีที่สุด เพราะประชาชนยังเดือดร้อนจากผลกระทบโควิด-19 อย่างมาก ต้องทำงานฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมต่อไป การจ่ายเงินเยียวยาประชาชนกว่า 15 ล้านคนผ่านโครงการเราไม่ทิ้งกัน ถือว่ากระทรวงการคลังทำได้ดีมาก จะขอเป็นฟันเฟืองตัวเล็กๆที่ช่วย “ลุงตู่” รวมไทยสร้างชาติต่อไป
แจง “นฤมล” แค่คิดนโยบาย ศก.พรรค
นายอนุชา นาคาศัย ว่าที่เลขาพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงกรณีเกิดกระแสสังคมวิพากษ์วิจารณ์ถึงการตั้งนางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และว่าที่เหรัญญิกพรรค มาดูแลงานด้านเศรษฐกิจของพรรคว่า ข้อเท็จจริงไม่ได้มอบหมายให้นางนฤมลไปดูภาพรวมเศรษฐกิจประเทศอย่างที่วิจารณ์กัน เป็นแค่มาดูแลภาพรวมนโยบายเศรษฐกิจของพรรคพลังประชารัฐ ในฐานะเป็นสมาชิกพรรคและนักวิชาการ ส่วนตัวมองว่านางนฤมลมีความรู้ความสามารถ กล้ารับรองเป็นคนเก่งคนหนึ่ง พรรคได้ตั้งทีมในหลายด้านทั้งเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม เพื่อผลิตนโยบายของพรรคนำเสนอสู่รัฐบาลหรือนายกฯ เพื่อสะท้อนแนวทางของพรรค
“แฮงค์” ปัดวุ่นไม่ใช่ หน.ทีมเศรษฐกิจ
“เบื้องต้นได้เชิญนักวิชาการที่มีความรู้ความสามารถด้านเศรษฐกิจมาร่วมส่วนหนึ่ง แต่ขอให้ตกผลึกก่อนที่จะเปิดเผยรายชื่อ รวมถึงตั้งทีมด้านอื่นๆด้วย โดยมีผมเป็นหลักในการรวบรวมผู้ที่มีความรู้ความ สามารถด้านต่างๆมาร่วมทำงาน ยืนยันเป็นการตั้งนางนฤมลมาคิดนโยบายด้านเศรษฐกิจให้กับพรรค ไม่ใช่ตั้งขึ้นมาคุมทีมเศรษฐกิจของรัฐบาล” นายอนุชากล่าว
หึ่ง 4 กุมารเปิด รร.แถลงทิ้ง พปชร.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ไม่มีรายชื่อทีม 4 กุมารร่วมคณะ จนถูกจับตาว่าจะยังทำงานร่วมกับพรรคพลังประชารัฐต่อไปหรือไม่ โดยมีสื่อบางสำนักรายงานข่าวว่า ทีม 4 กุมารจะลาออกจากสมาชิกพรรค โดยช่วงเช้าวันที่ 28 มิ.ย. มีกระแสข่าวว่าเวลา 10.00 น. นายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง อดีตหัวหน้าพรรค นาย สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พลังงาน อดีตเลขาธิการพรรค นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รมว.การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม อดีตรองหัวหน้าพรรค และนายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี และอดีตกรรมการบริหารพรรค จะตั้งโต๊ะแถลงข่าวลาออกจากสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ ที่โรงแรมเดอะ สุโกศล เขตพญาไท กทม.

“อุตตม” โต้ไม่จริงยังอยู่ช่วยงาน “บิ๊กตู่”
นายอุตตมให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ถึงกระแสข่าวดังกล่าวว่าไม่เป็นความจริง ไม่มีการนัดแถลงข่าวออกจากสมาชิกพรรคพลังประชารัฐตามที่มีกระแสข่าวแต่อย่างใด ตอนนี้ขอทำงานตามที่นายกฯสั่งให้เร่งรับมือเศรษฐกิจหลังคลายล็อกมาตรการโควิด-19 เรื่องการจ่ายเงินเยียวยาจากผลกระทบโควิด-19 จำนวน 5 พันบาท ที่จะจ่ายเดือน มิ.ย.เป็นเดือนสุดท้าย ประชาชนกำลังเผชิญภาวะยากลำบาก เศรษฐกิจหนักทั่วโลก ไม่ใช่แค่เมืองไทย ไม่ต้องการให้การเมืองกระทบความมั่นใจ ซ้ำเติมความยากลำบากในการ บริหารของนายกฯ
“สุวิทย์ ”ชี้นกไม่กลัวกิ่งหักเชื่อปีกตัวเอง
ด้านนายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รมว.การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม อดีตรองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ได้นำภาพที่โพสต์ในเพจเฟซบุ๊ก “สิ่งเล็กๆที่เรียกว่ารัก ” มาโพสต์ลงเฟซบุ๊ก “ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ Dr.Suvit Maesincee ” เป็นภาพวาดขาวดำรูปนกเกาะบนกิ่งไม้ และมีข้อความว่า “นกไม่เคยกลัวกิ่งไม้หัก มันไม่เคยเชื่อใจในกิ่งไม้ แต่เชื่อใจในปีกของตัวเอง” พร้อมติดแฮชแท็ก #nocaptionneeded#suvitmaesincee ทั้งนี้เป็นการโพสต์หลังที่ประชุมใหญ่สามัญเลือกตั้ง กก.บห.ชุดใหม่ไม่มีชื่อร่วมเป็นกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ ขณะที่ผู้เข้าไปแสดงความคิดเห็นส่วนใหญ่ต่างให้กำลังใจ บอกเป็นคนดี ย่อมยืนยันด้วยความคิดและผลงาน เพราะสิ่งที่ได้รับไม่สำคัญเท่าสิ่งที่มีในตัว
“สุวัจน์” อวยพี่ใหญ่มาพรรคร่วมฯปึ้ก
นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ อดีตรองนายกฯและประธานที่ปรึกษาพรรคชาติพัฒนากล่าวว่า ขอแสดงความยินดีกับพรรคพลังประชารัฐ ภายใต้การนำ พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคและผู้บริหารพรรคชุดใหม่ ที่จะสร้างความเข้มแข็งมั่นคงให้พรรคพลังประชารัฐ รัฐบาลชุดปัจจุบันประกอบด้วยพรรคการเมืองมากที่สุดที่เคยมีมา รัฐบาลมีเสียงเกินกึ่งหนึ่งของ ส.ส. ไม่มากนัก ความเป็นปึกแผ่นและความสามัคคีจึงสำคัญอย่างยิ่งต่อเสถียรภาพรัฐบาล พล.อ.ประวิตรเป็นผู้ใหญ่ทางการเมืองที่พรรคร่วมรัฐบาลให้ความเคารพนับถือ เชื่อว่าประสานการทำงานร่วมกันของทุกพรรคให้เรียบร้อยตามนโยบายของรัฐบาล ภายใต้สถานการณ์ปัจจุบันที่รัฐบาลกำลังทำงานอย่างหนัก แก้ปัญหาโควิดและเศรษฐกิจ เสถียรภาพทางการเมืองที่มั่นคง การยอมรับและการร่วมมือทุกฝ่ายจะทำ ให้รัฐบาลภายใต้การนำ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและ รมว.กลาโหม นำพาประเทศชาติและประชาชนฝ่าวิกฤติต่างๆไปได้

“คึก” เชื่อมือ “ประวิตร” รอส่งซิกปรับ ครม.
นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ขอแสดงความยินดีกับ พล.อ.ประวิตร ในฐานะส่วนตัวคุ้นเคยรู้จักมานาน เคยอนุมัติให้ตนเข้าเรียน วปอ.เมื่อปี 52 ส่วนตัวเชื่อว่า พล.อ.ประวิตรจะใช้ความรู้ความสามารถนำพาพรรค ไปได้แน่ เพราะเป็นมือประสานที่ดีคนหนึ่งพรรค การเมืองที่มาจากหลายกลุ่มก๊กจำเป็นต้องอาศัยคนมือถึง มีความสัมพันธ์ที่ดี ที่สำคัญต้องเป็นที่เคารพของคนทั้งพรรค หรือมีบารมี จึงหวังว่างานต่างๆใน สภาฯจะราบรื่นขึ้น เอกภาพในพรรคพลังประชารัฐน่าจะดีขึ้น ทั้งจะทำให้ความสัมพันธ์ภายในรัฐบาลดีขึ้น เพราะเป็นผู้จัดการรัฐบาลอยู่แล้ว เนื่องจากไม่ต้องผ่านคนอื่น สำหรับการปรับ ครม.น่าจะมีความเปลี่ยนแปลงรัฐมนตรีในสัดส่วนภายในพรรค พปชร.เอง ส่วนพรรคร่วมรัฐบาลต้องดูสัญญาณจากนายกรัฐมนตรีและ พล.อ.ประวิตรหลังเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการอีกครั้งน่าจะมีความชัดเจน
กลุ่มแคร์คาดคนตกงานพุ่ง 7 ล้านคน
วันเดียวกัน กลุ่มแคร์คิดเคลื่อนไทยออกแถลงการณ์ “แคร์ ชุบชีวิตเศรษฐกิจไทย อัดฉีด SME 2 ล้านล้าน ลดดอก ปลอดต้น 4 ปี” ว่า ประเทศไทยปราศจากผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศมา 34 วันแล้ว แต่ความเสียหายทางเศรษฐกิจเพิ่มพูนขึ้นทุกวัน ธุรกิจต่างๆยังไม่สามารถกลับมาดำเนินการได้ปกติ ที่น่ากังวลคือมีลูกหนี้สถาบันการเงิน ขอความช่วยเหลือจากมาตรการผ่อนปรนการจ่ายดอกเบี้ยและคืนเงินต้นถึง 16.3 ล้านราย มีมูลหนี้ถึง 6.84 ล้านล้านบาท แม้หวังว่าธุรกิจกว่าล้านราย จะกลับมาทำงานได้เหมือนเดิมเร็วๆนี้ แต่อนาคตดูมืดมน เพราะการเปิดเศรษฐกิจอย่างกระท่อนกระแท่น การประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินยังอยู่ ที่สำคัญการท่องเที่ยวจากต่าง ประเทศไม่สามารถกำหนดได้ว่าจะเริ่มต้นเมื่อใด หากมองทางบวกรัฐบาลเคยแถลงว่าจะให้นักธุรกิจต่างประเทศเข้ามาในประเทศไทย 1,000 คนต่อวัน หากเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.63 หมายความว่า ไตรมาสสุดท้ายของปีจะมีนักท่องเที่ยวเข้าประเทศไทยไม่ถึง 100,000 คน เทียบกับภาวะปกติที่ชาวต่างชาติเข้ามาท่องเที่ยวไทยถึง 10 ล้านคน จะสูญเสียรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติถึง 170,000 ล้านบาทต่อเดือน สภาวการณ์ดังกล่าวคาดการณ์ว่าคนไทยอาจตกงาน 5-7 ล้านคน นักศึกษาที่เพิ่งจบจะว่างงานอีก 400,000 คน
ชงอัดฉีดเอสเอ็มอี 2 ลล.ชุบชีวิต ศก.
แถลงการณ์กลุ่มแคร์ ระบุอีกว่าช่วงวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 มีคนไทยตกงาน 1.4 ล้านคน มหาวิกฤติเศรษฐกิจรอบนี้จึงรุนแรงมากกว่าปี 2540 ถึง 4 เท่าตัว ความเดือดร้อนประชาชนจะปรากฏอย่างกว้างขวางตั้งแต่เดือน ต.ค. นี้ มาตรการช่วยเหลือที่ผ่านมา ไร้พลัง ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ เศรษฐกิจไทยกำลังรอวันตาย กลุ่มแคร์ขอเสนอให้รัฐบาลสนับสนุนสินเชื่อผ่อนปรนวงเงิน 2 ล้านล้านบาท คิดดอกเบี้ย 2%ต่อปี ปลอดการชำระเงินต้น 4 ปี โดยธนาคารแห่งประเทศไทยปล่อยกู้ผ่านธนาคารพาณิชย์ที่ดอกเบี้ย 0.01% ต่อปี
ประคองจ้างงานต่อกว่า 10 ล้านคน
“รัฐบาลรับความเสี่ยงของความเสียหายจากการปล่อยกู้ดังกล่าวเกือบทั้งหมด โดยขยายขอบเขตให้เอสเอ็มอีที่ไม่ใช่ลูกหนี้สถาบันการเงินได้รับการสนับสนุนสินเชื่อด้วย หากมีความเสียหายจากการปล่อยกู้ รัฐบาลสามารถออกพันธบัตรให้ธนาคารแห่งประเทศไทย ซื้อที่ดอกเบี้ย 0.01% ต่อปี ระยะเวลาใช้คืน 100 ปี เพื่อชดใช้ความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากหนี้เสียให้สถาบันการเงินในอนาคต มาตรการอัดฉีดเอสเอ็มอี 2 ล้านล้าน ลดดอก ปลอดต้น 4 ปี จะช่วยเอสเอ็มอีนับล้านรายกลับมาดำเนินธุรกิจ จ้างพนักงานกว่า 10 ล้านคนต่อไปได้ มีเวลาเพียงพอวางแผนปรับตัวได้ การให้เวลาเพียงพอกับธุรกิจในการปรับตัว หลีกเลี่ยงการปลดพนักงาน จะช่วยลดความเสียหายต่างจากการดำเนินนโยบายแบบค่อยเป็นค่อยไปในปัจจุบันที่ไม่สามารถยับยั้งความเสียหายทางเศรษฐกิจที่ทวีความรุนแรงขึ้นทุกวันได้” แถลงการณ์ กลุ่มแคร์ฯระบุ
“หมอเลี้ยบ” เตือนรับมือตุลามหาวิกฤติ
เมื่อเวลา 14.00 น. กลุ่มแคร์ไลฟ์ผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ “CARE คิด เคลื่อน ไทย” เรื่อง “ทางรอดจากตุลามหาวิกฤติ” โดย นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี อดีตรองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การคุยว่า ผู้ป่วยในประเทศเป็นศูนย์นานกว่า 30 วัน สถานการณ์แบบนี้หลายประเทศประกาศชัยชนะพร้อมเดินหน้าฟื้นฟูเศรษฐกิจ ขณะที่ไทยต่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉินทั้งที่ไม่จำเป็น สามารถใช้ พ.ร.บ.โรคระบาดได้ ศักยภาพของไทยวันนี้ ถ้ามีผู้ป่วยขึ้นมาบ้างก็ไม่น่ากลัวแล้ว เพราะมีเตียงไอซียูเพียงพอในการรองรับ ซึ่งที่กังวลคือ 150 วันอันตราย หรือเดือน ต.ค.ที่จะมาถึง เศรษฐกิจจะหนักหนามากชนิดไม่เคยเห็นมาก่อน เป็นตุลามหาวิกฤติ
จี้ รบ.เร่งสร้างสะพานก้าวพ้นเหว
นายดวงฤทธิ์ บุนนาค สถาปนิกและนักออกแบบชาวไทย ผู้ก่อตั้งบริษัท ดวงฤทธิ์ บุนนาค จำกัด กล่าวว่า เรื่องทราเวล บับเบิล ที่บอกว่าอีก 2 เดือนค่อยมาคุยกัน ถ้าไม่ตัดสินใจเปิดการท่องเที่ยวก็น่าห่วง วิกฤติโควิด-19 เสมือนเราเดินอยู่แล้วแผ่นดินแยกเป็นเหว เป็นหน้าที่รัฐบาลสร้างสะพานข้ามไปอีกฟาก หากสะพานสร้างไม่ครบก็ไม่มีประโยชน์ เพราะเดินแล้วตก คนอ่อนแอตกลงไปตาย ผู้แข็งแรงเท่านั้นที่จะกระโดดข้ามไปได้ ถ้าสร้างสะพานต้องสร้างแบบก้าวให้ครบ
“ภราดร” ชี้หายนะมาเร็วเกินคาด
พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร เลขานุการคณะกรรมการกิจการพิเศษ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า 150 วันอันตรายที่กลุ่มแคร์ภาคประชาชนคาดการณ์ไว้ แต่เวลานี้ปรากฏข่าวร้ายมาเร็วกว่ากำหนด อาทิ สายการบินร่วมไทย-สิงคโปร์เลิกกิจการ คอนโดมิเนียมร้างต่างชาติเทขาย รัฐบาลหมดปัญญาแก้ไขและซ้ำเติมสถานการณ์ด้วยการคงอำนาจ พ.ร.ก.ฉุกเฉินไว้ มีคำอธิบายเหตุผลความจำเป็นสับปลับ ไม่อยู่กับร่องกับรอย กล่าวหานักศึกษาที่มาเรียกร้องสิทธิเสรีภาพละเมิดกฎหมาย ประกอบกับพรรคการเมืองใหญ่ปีกรัฐบาลรีบจัดประชุมใหญ่ปรับองคาพยพ แย่งเก้าอี้ ครม. ส่งสัญญาณรื้อกฎหมายเลือกตั้ง ส.ส. แก้สูตรคำนวณปาร์ตี้ลิสต์ เป็นสิ่งบอกเหตุว่ารัฐบาลไปไม่รอด
กลาง ก.ค. คลื่นยักษ์แฟลชม็อบไล่ รบ.
“คิดว่าอนาคตอันใกล้ต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงใหญ่ทางการเมือง เดือน ก.ค.การปรับตัวขนานใหญ่ของพรรคการเมืองเก่าใหม่จะปรากฏชัด คาดว่าหลังกลางเดือน ก.ค.เล็กน้อย สถานการณ์หายนะประเทศมาถึงจุดประจักษ์ชัดว่าผู้นำสืบทอดอำนาจไร้ความสามารถบริหารประเทศ แต่ที่ดำรงอยู่เพราะใช้อำนาจอำมหิตหนุนหลังกับความไร้ยางอาย เป็นเหตุให้สถานการณ์นับแต่นี้ไปแฟลชม็อบสารพัดกลุ่มคนจำต้องเคลื่อนไหวเป็นคลื่นยักษ์ขับไล่รัฐบาล แล้วผู้นำรัฐบาลใหม่ก็จะเกิดตามมา โดยไม่ซ้ำรอยให้วุฒิสภาที่ไม่รู้ที่มาที่ไปเป็นคนเลือกอีกแล้ว” พล.ท.ภราดรกล่าว

“ชวน” ขอ 20 ล้านสร้างการเมืองสุจริต
เมื่อเวลา 10.00 น. ที่รัฐสภา นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นประธานพิธีทำบุญเนื่องในวันสถาปนารัฐสภาครบรอบ 88 ปี มี พล.อ. สิงห์ศึก สิงห์ไพร นายศุภชัย สมเจริญ รองประธานวุฒิสภา ผู้บริหารสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร และผู้บริหารสำนักเลขาธิการวุฒิสภาเข้าร่วมพิธี มีพระสงฆ์ 10 รูป สวดเจริญพระพุทธมนต์ จากนั้นนายชวนให้โอวาทข้าราชการรัฐสภาว่า รัฐสภามีอายุ 88 ปี เกิดขึ้นหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองและลุ่มๆดอนๆมาจนถึงวันนี้ แต่เห็นความเปลี่ยนแปลงที่ก้าวหน้าขึ้นมาโดยลำดับ โดยเฉพาะความตื่นตัวที่ประชาชนต้องการประชาธิปไตยชัดขึ้น แม้จะมีข้อขัดแย้งในความคิดเห็น แต่ต้องเคารพกันภายใต้กรอบกฎหมายที่มีอยู่ อย่างปัญหาทุจริต คนทุจริตไม่ใช่แค่จบ ป.4 ป.6 แต่จบจากสถาบันสูงๆ จึงเป็นเรื่องตัวบุคคล กฎหมายที่ดีอย่างเดียวไม่เพียงพอ ต้องมีคนดีด้วย 2 อย่างต้องไปคู่กัน ตนมีโครงการของบฯ 20 ล้านบาท ทำโครงการการเมืองสุจริต สร้างคนดี โดยให้สถาบันพระปกเกล้าพิมพ์ตำราเล่มเล็กๆ สร้างการเมืองสุจริต นำไปใช้รณรงค์กับสถาบันการศึกษา แม้จะไม่เห็นผลทันที แต่ถ้าไม่ทำอะไรเลยทุกอย่างจะลอยไปตามยถากรรม 50 ปีก่อนการซื้อเสียงหนักสุดแค่ ส.ส.ปลาทูเค็ม เอาปลาทูเค็มไปแจกแล้วได้เป็น ส.ส. แต่ปัจจุบันเป็นอย่างไรไปดูกันเอง
เคลียร์ปัญหาสร้างสะพานเลียบสภาฯ
นายชวนกล่าวอีกว่า ส่วนความคืบหน้าการ ก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ที่ยังก่อสร้างไม่แล้วเสร็จ ได้เตือนเลขาธิการสภาฯไปบอกกับผู้รับเหมาว่าอย่าให้ต่อสัญญาก่อสร้างอีก ไม่อยากให้นำข้ออ้างสถานการณ์โควิด-19 มาเป็นเหตุผลต่อสัญญาออกไปอีกจะทำให้ถูกตำหนิ อีกเรื่องจะไปพบ รมว. มหาดไทยขอหารือเรื่องการก่อสร้างสะพานเลียบแม่น้ำเจ้าพระยา ที่จะก่อสร้างเลียบไปกับอาคารรัฐสภาด้วย มีการตั้งงบฯไว้แล้ว ทำให้ฝ่ายออกแบบก่อสร้างสภาฯไม่สบายใจ กระทบต่อภูมิทัศน์สภาฯและความปลอดภัย แต่ละฝ่ายโยนกันไปมา ต้องไปเจรจาหาทางกันดู อาจต้องเชิญผู้ออกแบบ รมว.มหาดไทย ผู้ว่าฯ กทม. ประธานกรรมาธิการกิจการสภาฯมาหารือร่วมกัน พร้อมไปร่วมประชุมด้วย จากนั้นจะทำหนังสือถึงนายกฯให้ทราบว่ามีปัญหาดังกล่าวเกิดขึ้น
ปชป.วาง 23 ส.ส.ชี้แนะจัดงบฯปี 64
นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรค และประธาน ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 วงเงิน 3,300,000 ล้านบาท ว่าจะประชุม ส.ส.พรรควันที่ 30 มิ.ย. เวลา 13.30 น. เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนการประชุมสภาฯในวันพุธที่ 1 ก.ค. มี ส.ส.รวม 23 คน สนใจจะอภิปรายงบประมาณปี 2564 ในแง่มุมต่างๆ จะได้ร่วมหารือถึงกรอบและแนวทางการอภิปรายนำเสนอข้อมูลในที่ประชุมสภาฯมีเป้าหมายชัดเจนดังนี้ 1.การจัดงบประมาณควรเป็นไปเพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชน 2.การจัดสรรงบฯขับเคลื่อนประเทศควรเป็นไปตามนโยบายและแผนที่ได้ผ่านการกลั่นกรองมาอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ และดำเนินการภายใต้กลไกต่างๆของภาครัฐได้อย่างมีประสิทธิภาพ 3.เนื่องจากการพิจารณางบฯปี 2564 มีขึ้นหลังสถานการณ์โควิด-19 จึงควรให้ความสำคัญกับการฟื้นฟู บรรเทา และแก้ปัญหาผู้ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนในขณะนี้ 4.การจัดสรรงบฯเพื่อให้เกิดการฟื้นตัวและการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ควรมีการ อัดฉีดงบฯให้เศรษฐกิจเดินหน้าอย่างมีกลยุทธ์ 5.ควรจัดสรรงบฯเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก เพื่อช่วยเหลือคนส่วนใหญ่ของประเทศที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจให้สอดคล้องกับการอัดฉีดเม็ดเงินผ่าน พ.ร.ก.ทั้ง 3 ฉบับ และ พ.ร.ก.โอนงบปี 63 ที่ผ่านสภาฯไปแล้ว
เน้นเจาะลึกเพื่อประโยชน์ ปชช.
นายองอาจกล่าวต่อว่า แนวทางการอภิปราย ส.ส.พรรคจะเน้นอภิปรายสร้างสรรค์ จะชี้ให้เห็นว่าการจัดสรรงบฯเป็นไปอย่างถูกต้องเหมาะสมหรือไม่ ควรปรับปรุงอย่างไรเพื่อให้ตรงจุด คุ้มค่ากับการใช้จ่ายงบฯมากที่สุด จะนำเสนอข้อมูลที่เป็นวิทยาศาสตร์บนพื้นฐานทางวิชาการ และข้อมูลบนสภาพความเป็นจริงของพื้นที่ต่างๆ ที่ ส.ส.หลายท่านมีประสบการณ์คลุกคลีอยู่กับประชาชนจนสามารถบอกได้ว่าจัดสรรงบประมาณอย่างไรจึงจะเกิดประโยชน์กับประชาชน นอกจากนั้น พรรคได้เตรียม ส.ส.รวม 6 คน เพื่อทำหน้าที่กรรมาธิการวิสามัญพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปี 2564 อย่างเต็มกำลังความสามารถ เพื่อให้งบประมาณทุกบาททุกสตางค์ที่มาจากเงินภาษีอากรของประชาชนกลับไปทำประโยชน์ให้ประชาชน สังคม ประเทศชาติอย่างเต็มที่ต่อไป
“เทพไท” วอนช่วยพ่อแม่ นร.พึ่งโรงตึ๊ง
นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับสำนักวิจัยซูเปอร์โพลมหาวิทยาลัยมหิดล สำรวจความคิดเห็นของประชาชนต่อตัวเลือก หรือทางออกของสภาพคล่องทางการเงินกว่า 1,200 ตัวอย่าง ครอบคลุมทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 1 มี.ค. ถึง 25 มิ.ย.ที่ผ่านมา พบว่าคนไทยส่วนใหญ่ขาดสภาพคล่อง ต้องพึ่งโรงจำนำนั้น ว่า ต้องยอมรับความจริงว่าวิกฤติไวรัสโควิด-19 มีผลกระทบต่อสภาวะเศรษฐกิจทุกระดับ ต่างกับวิกฤติต้มยำกุ้ง หรือฟองสบู่แตก ที่กระทบเฉพาะนักธุรกิจ นักลงทุน หรือสถาบันการเงินเท่านั้น แต่ครั้งนี้กระทบตั้งแต่มหาเศรษฐี นายธนาคาร เจ้าของกิจการโรงแรม ธุรกิจรายใหญ่ ธุรกิจรายย่อย ร้านอาหาร จนถึงร้านขายของชำ และประชาชนผู้หาเช้ากินค่ำ มีคนตกงาน ไม่มีรายได้เลี้ยงชีพ ทำให้คนชั้นกลางหรือระดับรากหญ้าต้องหาทางออกโดยการพึ่งพาโรงรับจำนำเพื่อนำเงินมาแก้ปัญหาเฉพาะหน้าก่อน โดยเฉพาะในช่วงนี้จะเปิดเทอมใหม่ของโรงเรียนต่างๆในวันที่ 1 ก.ค.นี้ พ่อ แม่ ผู้ปกครองนักเรียนต้องหาเงินมาเป็นค่าใช้จ่ายในการเปิดภาคเรียนใหม่ เมื่อไม่มีรายได้หรือเงินเพียงพอที่จะเป็นค่าใช้จ่ายของลูก จึงจำเป็นต้องหาที่พึ่งสุดท้ายคือพ่อแม่เข้าโรงรับจำนำ ก่อนลูกเข้าโรงเรียน
ขอเยียวยา ป.1–ม.6 คนละพัน 3 เดือน
นายเทพไทกล่าวอีกว่า ขอเรียกร้องตามข้อเสนอเดิมที่เคยเสนอต่อรัฐบาลและ รมว.ศึกษาธิการ ขอให้เยียวยากลุ่มนักเรียนคนละ 1,000 บาท เป็นเวลา 3 เดือนให้แก่นักเรียนตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ขณะนี้พ่อแม่ผู้ปกครองนักเรียนกำลังรอคอยความชัดเจน และความช่วยเหลือจากรัฐบาลอยู่ ขอให้รัฐบาลรีบเยียวยาช่วยเหลือกลุ่มเด็กนักเรียนทุกคนในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัดโรงเรียนรัฐบาลและเอกชน ก่อนจะเปิดภาคเรียนวันที่ 1 ก.ค.

“นิพิฏฐ์” จ่อฟ้อง กกต.ทั้งคณะ 4 คดี
นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ดูแลพื้นที่ภาคใต้ โพสต์เฟซบุ๊กว่าวันที่ 29 มิ.ย. ได้เวลาที่จะฟ้อง กกต. ต่อศาลอาญาทุจริตแล้ว เราสู้กันแบบตรงไปตรงมา ภายใต้กฎหมายและรัฐธรรมนูญ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายนิพิฏฐ์จะฟ้องคดีอาญา กกต.ทั้งคณะ สืบเนื่องจากการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 24 มี.ค.62 นายนิพิฏฐ์ลงสมัครรับเลือกตั้งเขต 2 พัทลุง ได้รับเรื่องจากชาวบ้านถึงเรื่องการทุจริตเลือกตั้ง พร้อมพยานหลักฐาน คลิปเสียงและภาพยื่นเงินให้บุคคล จึงร้อง กกต.ขอให้ตรวจสอบหลังพบการซื้อบัตรประชาชนจำนวนมาก มีหลักฐานทั้งภาพถ่ายและคลิปวิดีโอจ่ายเงินจูงใจชาวบ้านให้เลือกผู้สมัครพรรคหนึ่ง ทั้งยังมีการตั้งกลุ่มไลน์หัวคะแนนพรรคคู่แข่งกว่า 300 คนใช้สื่อสารเฉพาะกลุ่มในการจ่ายเงินซื้อเสียง บันทึกบัตรประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งและทำบัญชีจ่ายเงิน กลุ่มไลน์นี้เปลี่ยนชื่อ 2 ครั้งป้องกันไม่ให้คนนอกกลุ่มแฝงเข้ามา แต่ กกต.กลางกลับมีมติรับรองผลการเลือกตั้ง ไม่สอบสวนต่อคำร้องที่เกี่ยวโยงถึงผู้บริหารพรรคหนึ่งที่สั่งในกลุ่มไลน์ จะฟ้องข้อหาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ 4 กรณีคือ การซื้อเสียง 2 คดี ใส่ร้ายป้ายสี 1 คดี วางตัวไม่เป็นกลาง 1 คดี
ชาวบ้านพอใจ “อุตตม” มากกว่า “บิ๊กป้อม”
วันเดียวกัน สำนักวิจัยซูเปอร์โพล เผยผลสำรวจ เรื่อง “สี่รัฐมนตรีกับใจประชาชน” สำรวจกลุ่มตัวอย่าง 1,470 คนทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 26-27 มิ.ย. โดยเมื่อถามถึงรัฐมนตรีแกนนำสำคัญของรัฐบาลที่ประชาชนพอใจ เฉพาะรัฐมนตรีที่มีข่าวจะถูกปรับออก เทียบกับความพอใจของประชาชนต่อ 3 ป. พบว่าร้อยละ 49.2 ระบุ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ร้อยละ 48.3 ระบุนายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง ร้อยละ 43.5 นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พลังงาน ร้อยละ 43.2 พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ร้อยละ 42.2 นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ ฝ่ายเศรษฐกิจ ร้อยละ 36 ระบุ ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล รมว.แรงงาน และร้อยละ 31.8 ระบุ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ
ยี้เล่นการเมืองเก่าย้อนก่อนยึดอำนาจ
เมื่อถามถึงความเห็นของประชาชนต่อรัฐบาลที่เดินหน้าสู่การเมืองใหม่ เป็นตัวอย่างที่ดีต่อเด็กและเยาวชนคนรุ่นใหม่ หรือเป็นการเมืองเก่าแบบเดิม ที่เคยถูกอ้างก่อนการยึดอำนาจที่ผ่านมา พบว่าส่วนใหญ่ร้อยละ 65.5 ระบุรัฐบาลกำลังเดินสู่การเมืองเก่าแบบเดิมที่เคยถูกอ้างก่อนการยึดอำนาจที่ผ่านมา ขณะที่ร้อยละ 34.5 ระบุการเมืองใหม่ และเมื่อถามความเห็นต่อการลาออกจากทุกตำแหน่งของสี่รัฐมนตรี ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 62.5 ไม่เห็นด้วย ขณะที่ร้อยละ 37.5 เห็นด้วย

มองไม่เห็นใครเหมาะเป็นนายกฯ
ด้านศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เผยผลสำรวจ เรื่อง “การสำรวจคะแนนนิยมทางการเมืองรายไตรมาส ครั้งที่ 2” สำรวจเมื่อวันที่ 22-24 มิ.ย.จำนวน 2,517 หน่วยตัวอย่าง เมื่อถามถึงบุคคลที่ประชาชนจะสนับสนุนให้เป็นนายกฯในวันนี้ ร้อยละ 44.06 ระบุว่ายังหาคนที่เหมาะสมไม่ได้ อันดับ 2 ร้อยละ 25.47 ระบุ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เพราะบริหารงานดีอยู่แล้ว บ้านเมืองสงบไม่วุ่นวาย อยากให้ดำรงตำแหน่งต่อไป ร้อยละ 8.07 ระบุคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ เพราะมีประสบการณ์การทำงาน การบริหารงานที่ผ่านมาได้ดี ร้อยละ 7.03 ระบุว่าไม่สนใจ ร้อยละ 4.57 ระบุ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส เพราะเป็นคนตรงไปตรงมา พูดจริง ทำจริง ซื่อสัตย์ ร้อยละ 3.93 ระบุนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เพราะอยากได้คนรุ่นใหม่มาบริหารประเทศ ชื่นชอบนโยบายพรรค ร้อยละ 1.67 ระบุนายกรณ์ จาติกวณิช เพราะมีวิสัยทัศน์ที่ดี มีความเป็นผู้นำ มีความสามารถด้านเศรษฐกิจ และมีความเข้าใจการเมืองทั้งแบบเก่าและแบบใหม่ ร้อยละ 0.99 ระบุนายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ เพราะชอบผลงานพรรคเพื่อไทยและเศรษฐกิจน่าจะดีขึ้น ร้อยละ 0.95 ระบุนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เพราะเป็นผู้นำ การทำงานยืดหยุ่น ร้อยละ 0.87 ระบุนายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ เพราะมีนโยบายพรรคชัดเจน
ไม่ปักใจหนุนพรรคใดแต่ พท.ยังนำ พปชร.
เมื่อถามถึงพรรคการเมืองที่ประชาชนจะสนับสนุนในวันนี้ พบว่าร้อยละ 32.38 ระบุว่าไม่สนับสนุนพรรคใดเลย ร้อยละ 20.70 ระบุพรรคเพื่อไทย ร้อยละ 15.73 ระบุพรรคพลังประชารัฐ ร้อยละ 13.47 ระบุพรรคก้าวไกล ร้อยละ 7.75 ระบุพรรคประชาธิปัตย์ ร้อยละ 3.42 ระบุว่าไม่ตอบ ไม่สนใจ ร้อยละ 2.50 ระบุพรรคเสรีรวมไทย ร้อยละ 1.43 ระบุพรรคภูมิใจไทย ร้อยละ 1.11 ระบุพรรคกล้า ร้อยละ 0.60 ระบุพรรคเพื่อชาติ ร้อยละ 0.36 ระบุพรรคชาติไทยพัฒนา ร้อยละ 0.20 ระบุพรรคเศรษฐกิจใหม่ ร้อยละ 0.16 ระบุพรรคประชาชาติ ร้อยละ 0.11 ระบุพรรคชาติพัฒนา และร้อยละ 0.08 ระบุว่าพรรครวมพลังประชาชาติไทย เมื่อเปรียบเทียบกับผลสำรวจ ครั้งที่ 1 เดือน ธ.ค.62 พบว่าผู้ที่ระบุว่าพรรคพลังประชารัฐ พรรคประชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจไทย พรรคชาติไทยพัฒนา พรรคเศรษฐกิจใหม่ และพรรคประชาชาติ มีสัดส่วนลดลง ขณะที่ผู้ที่ระบุว่าพรรคเพื่อไทย พรรคเสรีรวมไทย พรรคเพื่อชาติ พรรคชาติพัฒนา ไม่สนับสนุนพรรคการเมืองใดเลย มีสัดส่วนเพิ่มขึ้น และผู้ที่ระบุว่าพรรครวมพลังประชาชาติไทยมีสัดส่วนเท่าเดิม
“ศรีฯ” ยื่นสอบ “ฌอน” รับเงินบริจาค
นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย กล่าวถึงกรณีนายฌอน บูรณะหิรัญ นักพูดสร้างแรงบันดาลใจชื่อดัง โพสต์เฟซบุ๊กขอรับเงินบริจาคเมื่อวันที่ 30 มี.ค.-1 พ.ค.63 ช่วยดับไฟป่าดอยสุเทพ มียอดบริจาค 875,741 บาทแต่กลับนำเงินบริจาค 254,516 บาท มาใช้ทำสื่อประชาสัมพันธ์ตนเองว่า ได้ทำหนังสือไปยังอธิบดีกรมการปกครองให้ตรวจสอบว่าขออนุญาตจากนายอำเภอเมืองเชียงใหม่ตาม พ.ร.บ.ควบคุมการเรี่ยไร ปี 2487 หรือไม่ และใช้เงินผิดวัตถุประสงค์หรือไม่ อาจเข้าข่ายฉ้อโกงมีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6 พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และฝ่าฝืน พ.ร.บ.การกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ปี 2550 กรมการปกครองต้องแจ้งความดำเนินคดี
กรมปกครองเล็งรื้อ ก.ม.คุมเรี่ยไรใหม่
นายธนาคม จงจิระ อธิบดีกรมการปกครอง กล่าวว่า ยังไม่ได้รับหนังสือจากนายศรีสุวรรณ กำลังตรวจสอบข้อเท็จจริง เพิ่งทราบตามสื่อแต่ข้อเท็จจริงทั้งหมดคืออะไร เรายังไม่รู้ว่ารับบริจาคจริงและขอรับบริจาคทางไหน อย่างไร และต้องดูระเบียบข้อกฎหมาย หารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่ากฎหมายเป็นอย่างไรบ้าง ต้องมาดูว่าคำว่าสาธารณะหมายถึงอะไร เมื่อถามว่าหากดูกฎหมายและเอาผิดได้จะใช้กรณีนี้เป็นแนวทางจัดระเบียบการเรี่ยไรใหม่หรือไม่ นายธนาคมตอบว่า กรมการปกครองกำลังมีความคิดจะยกร่าง พ.ร.บ.ควบคุมการเรี่ยไรใหม่ให้ทันสมัย เพราะใช้มาตั้งแต่ปี 2487 ตั้งแต่สมัยยังไม่มีโทรทัศน์ เรียกว่ากฎหมายล้าหลัง
สรรพากรลั่นต้องแจงชัดทุกบาท
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวถึงกรณี “ฌอน บูรณะหิรัญ” ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก หลังรับเงินบริจาคกว่า 800,000 บาท เพื่อช่วยไฟป่า แต่กลับนำเงินไปใช้บริจาคช่วยโควิด-19 ไม่ได้นำไปช่วยไฟป่าตามวัตถุประสงค์ของการรับเงินบริจาค รวมถึงยังเรียกร้องให้เปิดเผยยอดบัญชีรายรับ รายจ่ายของเงินบริจาคทั้งหมดว่า ตามหลักการเงินที่ได้รับการบริจาคมา ต้องมีการทำบันทึกรายรับและรายจ่ายโดยละเอียด และจะต้องนำไปใช้บริจาคตามวัตถุประสงค์ทั้งหมด ถึงจะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ กรมมีอำนาจตรวจสอบจำนวนเงินที่เข้าบัญชีได้ทั้งหมดอยู่แล้ว เพราะผู้เสียภาษีจะต้องยื่นแบบรายได้ประจำปีให้กรมทราบ รวมทั้งรายได้ส่วนตัว และเงินบริจาคทั้งหมด ต้องชี้แจงได้ว่ามีที่มารายได้และนำไปใช้อย่างไร ส่วนกรณีที่นำเงินบริจาคส่วนหนึ่งประมาณ 250,000 บาท มาใช้ผลิตสื่อนั้น กรมต้องขอไปตรวจสอบให้ถี่ถ้วนก่อนว่าจะเข้าข่ายได้รับการยกเว้นภาษีด้วยหรือไม่ เพราะไม่ได้เป็นการนำเงินไปบริจาคตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้
"จะต้องเป็น" - Google News
June 29, 2020 at 05:23AM
https://ift.tt/2ZlVdhf
สรรพากรจ่อฟันเรี่ยไร บัญชี "ฌอน" ต้องแจงทุกบาท - ไทยรัฐ
"จะต้องเป็น" - Google News
https://ift.tt/3bIgTZQ
Mesir News Info
Israel News info
Taiwan News Info
Vietnam News and Info
Japan News and Info Update
https://ift.tt/2YEtTvL
Bagikan Berita Ini
0 Response to "สรรพากรจ่อฟันเรี่ยไร บัญชี "ฌอน" ต้องแจงทุกบาท - ไทยรัฐ"
Post a Comment