ตรงนี้แปลว่า รูปแบบการจ้างงานก็จะเปลี่ยน ทักษะที่ต้องการสำหรับอนาคตจะเปลี่ยนด้วย คนที่วันนี้ออกจากตลาดแรงงานและคาดหวังว่าจบโควิดแล้วจะกลับมา วันนั้นอาจจะไม่ได้มีทักษะที่ตรงตามความต้องการของตลาดแรงงานแล้วในอนาคต
ควบคู่กับการปรับโครงสร้างธุรกิจ ปรับเปลี่ยนเทคโนโลยี เราจึงต้องพูดถึงการปรับเปลี่ยน “ทักษะแรงงาน” ให้เท่าทันกับความต้องการใหม่ๆ และในขณะนี้ใครปรับได้เร็ว ก็จะถือว่าเป็นโอกาส

จ้างงานล้านคนยกระดับชนบท
ขณะที่อีกปรากฏการณ์หนึ่งที่ผมคิดว่า ไม่เคยเกิดขึ้นเลยในช่วง 20 ปี คือ มีคนที่ออกจากเมืองกลับสู่ภูมิลำเนาเป็นล้านคน จากที่ผ่านมา มีแต่คนจากต่างจังหวัดเข้าสู่เมืองใหญ่ เข้าสู่นิคมอุตสาหกรรม
“ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่มีคนกลับบ้านเป็นล้านคน และเป็นคนที่อยู่ในวัยแรงงาน เป็นคนที่รู้เรื่องเทคโนโลยี เป็นคนที่มีประสบการณ์จากการอยู่ในเมือง คำถามก็คือ ในอนาคตที่โลกจะเปลี่ยน เราจะใช้ตรงนี้เป็นโอกาสอย่างไรที่จะสร้างความเข้มแข็งให้กับคนในชนบท และถ้าเราจะเปลี่ยนประเทศได้เราต้องเปลี่ยนชนบท เปลี่ยนต่างจังหวัด”
ในช่วงที่ผ่านมา ผมและ ธปท.ได้พยายามนำเสนอนโยบายให้เกิดการสร้างงานเพิ่มขึ้นเป็นล้านๆตำแหน่งในชนบท ผมมองว่าจะเป็นหัวใจของนโยบายเศรษฐกิจ เพื่อให้คนที่กลับบ้านมีทักษะแรงงานที่ดีขึ้นและอยู่รอดได้
ซึ่งไม่ได้หมายความว่า เขาต้องไปทำงานในภาคเกษตรอย่างเดียว
เช่น วันนี้คนที่เคยอยู่ใน “ร้านนวด” ไม่มีนักท่องเที่ยว หากเรามีโครงการสอนทักษะเพิ่มเติมให้ดูแลผู้สูงอายุในหมู่บ้านได้ โดยถ้าจ้าง 1 คน หมู่บ้านละ 1 ตำแหน่ง เราจะมีคนทำงานเพิ่มกว่า 75,000 ตำแหน่งทั่วประเทศ จ้าง 2 คนจะได้ 150,000 ตำแหน่ง หากทำสัญญาจ้าง 2 ปี ให้เดือนละ 5,000 บาท ปีละ 60,000 บาท ถือว่าใช้เงินน้อยกว่าที่เราต้องเอามาแจกในเวลานี้ และหากทำหลักสูตรการเพิ่มทักษะความรู้ให้ดีเพียงพอ เมื่อครบ 2 ปีโควิดจบ คนเหล่านี้จะมีทักษะการดูแลผู้สูงอายุ ตอบโจทย์ประเทศไทยที่เข้าสู่สังคมสูงอายุ
“คนส่วนนี้จะเป็นตัวอย่างในการปรับทักษะให้เข้าสู่โลกใหม่ ครบ 2 ปี หากเขากลับมาทำงานในเมือง เขาจะมีทักษะการทำงานเพิ่มขึ้น หรือหากว่าอยู่ต่อ ถือเป็น Change agent ซึ่งเป็นกลไกขับเคลื่อนและปรับเปลี่ยนชนบทได้”
ด้านการเกษตรเอง เรายังต้องอาศัย “ข้อมูล” และ “เทคโนโลยี” อีกจำนวนมาก จึงต้องการคนที่มีความรู้ด้านการใช้เทคโนโลยี คนมีความรู้ด้านบรรจุภัณฑ์ การขนส่งสินค้าโลจิสติกส์ และการค้าขายออนไลน์
ขณะที่ระบบบัญชี หรือกองทุนหมู่บ้าน ฐานข้อมูลหมู่บ้านก็ยังมีปัญหา เราลากอินเตอร์เน็ตไปทั่วประเทศแต่ไม่ได้ถูกใช้ประโยชน์จริงจัง การหา “คนที่มีความรู้ด้านอินเตอร์เน็ต” ช่วยให้ความรู้ หรือแนะนำการใช้ให้คนในและช่วยเพิ่มจ้างงานทุกหมู่บ้านได้อีก 75,000 ตำแหน่ง
ช่วงที่ผ่านมา “มูลนิธิปิดทองหลังพระ” ทำโครงการลักษณะนี้ จ้างเด็กจบใหม่ จ้างคนตกงานเข้าไปเป็น Change agent ในชุมชน เช่น คนที่เป็นวิศวกรมาช่วยพัฒนาการก่อสร้างต่อยอดโครงสร้างพื้นฐานในท้องที่ ช่วยบริหารจัดการน้ำ มีโครงการที่สามารถผนึกกำลังกันได้อีกมากเพื่อช่วยกันเปลี่ยนประเทศ

หยุด “แก้หนี้” ด้วยการ “เพิ่มหนี้”
ผู้ว่าการ ธปท. ยังได้กล่าวถึงอีกปัญหาใหญ่ของสังคมไทย คือ หนี้ครัวเรือน และหนี้ภาคธุรกิจ ที่อยู่ในระดับสูง วันนี้ความสามารถในการชำระหนี้ลดลงมาก และการฟื้นตัวหลังโควิดในแต่ละภาคธุรกิจก็ไม่เท่ากัน
“ในช่วงแรกอาจจะต้องใช้มาตรการแบบเหวี่ยงแหกับทุกภาคส่วน ทั้งมาตรการเยียวยา และมาตรการพักหนี้ เพราะไม่แน่ใจว่าผลกระทบจะรุนแรงแค่ไหน วันนี้เราผ่านช่วงเวลานั้นแล้ว กิจกรรมหลายๆ อย่างเริ่มกลับมาทำงานได้เป็นปกติ และบางธุรกิจดีขึ้นด้วยซ้ำ”
จากนี้ควรทยอยเปลี่ยนเป็นมาตรการ “การช่วยเหลือเฉพาะจุด” ซึ่ง ธปท.เน้นการปรับโครงสร้างหนี้ ลูกหนี้กับเจ้าหนี้มีช่องทางเจรจาให้ปรับหนี้ได้เร็วและตรงกับความสามารถของลูกหนี้ในอนาคต ขณะที่แบงก์ควรนำทรัพยากรที่มีอยู่ช่วยคนที่ได้รับผลกระทบมากกว่าสนับสนุนให้พักหนี้โดยรวม
“ขณะนี้คนส่วนใหญ่ในประเทศยังจ่ายหนี้ได้ ส่วนคนที่พักหนี้ เมื่อครบกำหนดวันที่ 22 ต.ค.สำรวจพบว่าเกินกว่าครึ่งกลับมาชำระหนี้ได้ ดังนั้น เฟสที่ 2 จะเป็นการให้ลูกหนี้แสดงตนเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ และอยากให้เข้าใจว่า การปรับโครงสร้างหนี้ในสภาวะแบบนี้ ไม่ใช่ความผิดของลูกหนี้ ทุกคนก็เข้าใจว่าจำเป็น ซึ่ง ธปท.ได้แก้หลักเกณฑ์ให้ค่อนข้างมาก และครั้งนี้เราเห็นแบงก์พาณิชย์เข้าไปช่วยเร็วและช่วยในวงกว้าง”
อย่างไรก็ตาม ถ้าเราตระหนักว่า รอบนี้วิกฤติจะอยู่กับเรา 2 ปี จะรู้ว่าการแก้ปัญหาผู้ประกอบการภาคธุรกิจที่มีหนี้อยู่แล้ว ด้วยเอาหนี้ไปให้เพิ่มนั้น มันแก้ปัญหาไม่ได้ การเอาหนี้ไปเพิ่มหนี้ไม่สามารถแก้ปัญหาหนี้ได้ ถ้าจะแก้ต้องปรับโครงสร้างหนี้เดิม ลดภาระหนี้เดิมก่อน หากเขาปรับเปลี่ยนการทำธุรกิจแล้ว ต้องการใช้เงินเพิ่มให้สินเชื่อใหม่ได้ แต่บางทีเป็นความเข้าใจผิดที่ว่า เมื่อขาดสภาพคล่อง หรือหนี้มีปัญหา จะต้องขอหนี้มาเพิ่ม ซึ่งไม่ได้แก้ปัญหา
เปิดประเทศรับกำลังซื้อต่างชาติ
สุดท้ายที่เป็นมาตรการสำคัญ คือ การเปิดประเทศ แต่ต้องถ่วงดุลให้เหมาะสมระหว่างความกังวลด้านสาธารณสุข ที่ต้องใช้ มาตรการคุมเข้มที่เข้มแข็งไม่ให้ระบาดรอบ 2 พร้อมๆกับความสำคัญด้านเศรษฐกิจ
เพราะถ้าเราไม่มีแผนในการเปิดประเทศอย่างมีการบริหารจัดการที่เหมาะสม ภาคการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นภาคเศรษฐกิจสำคัญของเราจะไม่สามารถรับผลกระทบที่ยาวนานและต่อเนื่องถึงคนจำนวนมาก สิ่งที่ต้องทำอีกเรื่องคือ การสร้างความเชื่อมั่นของคนในชาติให้เชื่อมั่น และเชื่อใจ ที่ผ่านมาเรามีจุดแข็ง ที่เราทำได้ดีกรณีรับคนไทยกลับจากต่างประเทศ หรือการกักตัวในพื้นที่ควบคุมของรัฐ 14 วัน เพราะแม้ว่ามีโรงแรมในกรุงเทพฯ ที่เป็นโรงแรมที่ใช้กักตัว 14 วันหลายโรงแรม แต่คนกรุงเทพฯก็ไม่ได้ตระหนกตกใจอะไร เพราะมั่นใจในมาตรการต่างๆของรัฐ
“แต่เราจะขยายผลขยายความมั่นใจของคนไทยอย่างไร เพื่อให้ไปถึงกลุ่มชาวต่างชาติ ที่จะมีบทบาทในการช่วยฟื้นเศรษฐกิจของประเทศ ตั้งแต่ครอบครัวของชาวต่างชาติที่ทำงานในไทย ซึ่งเขารอที่จะกลับมาจำนวนมาก ซึ่งจะเป็นกำลังซื้อที่ควรจะค่อยๆนำเข้ามาใช้จ่ายในประเทศไทย”
ยังมีกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ โดยที่ผ่านมามีหลายโรงงานที่สั่งเครื่องจักรใหม่เข้ามา แต่ติดตั้งไม่ได้เพราะช่างมาจากต่างประเทศไม่ได้ หรือ โครงการขนาดใหญ่ของรัฐก็มีปัญหาช่างที่เข้ามาไม่ได้ พอเดินทางไม่ได้ โครงการก็ไปต่อไม่ได้
ส่วนการรับนักท่องเที่ยวคงจะไม่ใช่นักท่องเที่ยวปกติ แต่เป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อและอยู่ระยะยาว ซึ่งในทุกปีเราจะมีนักท่องเที่ยวประเภทที่หลบหนาวมาพักบ้านเรา 1-2 เดือนในลักษณะเป็นเที่ยวบินเช่าเหมาลำ ซึ่งผมเชื่อว่า คนเหล่านี้น่าจะพร้อมที่จะเข้าสู่กระบวนการกักตัว 14 วันเพื่อที่จะอยู่ต่อ 1-2 เดือน ซึ่งจะเป็นอีกกำลังซื้อที่กลับเข้ามาในประเทศ
“จุดที่เราต้องทำมากขึ้น คือ การบริหารจัดการในระดับที่เล็กลงไป ในส่วนที่เป็นภาคปฏิบัติจริง ซึ่งลงลึกในพื้นที่และในรายละเอียดของการบริหารจัดการเฉพาะกลุ่ม เฉพาะที่ เพราะการจะสร้างความไว้วางใจหรือความเชื่อมั่นของคน จะต้องเกิดขึ้นในส่วนของการปฏิบัติจริง ซึ่งอาจจะมีหลายส่วนราชการเกี่ยวข้อง
และหากเราจะทำก็ต้องเร่งมือ เพราะหากเราต้องการรับนักท่องเที่ยวในเดือน ธ.ค.หรือเดือน ม.ค.ซึ่งเป็นฤดูกาลท่องเที่ยว จะต้องมีความชัดเจนตั้งแต่กลางเดือน ต.ค. เพราะถ้าช้าไปเขาจะไปที่อื่น ให้ทำในสเกลเล็กๆก่อน อาจจะไม่ต้องเปิดใหญ่ รวมทั้งอาจจะขยายโรงแรมที่เป็นพื้นที่กักตัวของรัฐไปในหลายๆพื้นที่ทั่วประเทศมากขึ้น เมื่อมีความ มั่นใจได้รับความไว้วางใจแล้ว จึงค่อยๆเพิ่มสเกลขึ้น”
*************
สำหรับการทำงานตลอด 5 ปีที่ผ่านมานั้น ผู้ว่าการ ธปท.ระบุว่า ยังไม่มีอะไรเป็นที่สุด เพราะมีโจทย์ที่ท้าทายแตกต่างกันไปในหลายช่วงเวลา และข้อที่ดีคือ วิกฤติโควิดที่ผ่านมาได้แสดงให้เห็นถึงการทำงานเป็นทีม ที่ทำให้เราออกนโยบายที่ตอบโจทย์ของวิกฤติได้อย่างทันท่วงที มีเหตุมีผล
ขณะที่การเปลี่ยนแปลงในยุคนี้ คือ การปรับ “วัฒนธรรมองค์กร” ให้เป็นแบงก์ชาติที่ติดดินมากขึ้น มีการประสานความร่วมมือกับผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียมากขึ้น เปิดโอกาสให้เจ้าหน้าที่เด็กๆ ที่มีความรู้ ความสามารถได้คิด ได้ทำ และปรับการทำงานโดยใช้เทคโนโลยี การใช้ฐานข้อมูล ที่ตอบคำถามได้อย่างมีประจักษ์พยานมากขึ้น ซึ่งช่วยลดการใช้อารมณ์ หรือความรู้สึก หรือความเชื่อของผู้ใหญ่ที่มองว่า เคยผ่านมาก่อน ต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ลง
คิดว่าวัฒนธรรมใหม่นี้อยู่กับ ธปท.ต่อไปและช่วยให้เท่าทันกับโลกที่เปลี่ยนแปลงไปมากขึ้น
ส่วนชีวิตหลังอำลาตำแหน่ง นอกจากแบ่งเวลาดูแลครอบครัวมากขึ้น ผู้ว่าการ ธปท.คงยังช่วยพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของชาติต่อไป ภายใต้มูลนิธิปิดทองหลังพระ มูลนิธิอื่นที่เคยทำ และงานด้านการศึกษา
ท้ายที่สุด ผู้ว่าการ ธปท.เชื่อมั่นว่า การทำงานของ ธปท.ภายใต้การนำของ ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการ ธปท.คนใหม่จะมีความต่อเนื่อง จากที่เป็นคณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง.มาถึง 2 สมัย เป็นคณะกรรมการ ธปท.อีก 1 สมัย เป็นคนให้ข้อคิดในการตัดสินใจทำนโยบายของ ธปท.มาโดยตลอด และเข้าใจการทำงานของ ธปท.
ทีมเศรษฐกิจ
"จะต้องเป็น" - Google News
September 28, 2020 at 05:01AM
https://ift.tt/3kVsSqS
“เราจะออกจากวิกฤตินี้อย่างไร” บทสนทนา “วิรไท” ทิ้งท้ายบทบาทผู้ว่า ธปท. - ไทยรัฐ
"จะต้องเป็น" - Google News
https://ift.tt/3bIgTZQ
Mesir News Info
Israel News info
Taiwan News Info
Vietnam News and Info
Japan News and Info Update
https://ift.tt/2YEtTvL
Bagikan Berita Ini
0 Response to "“เราจะออกจากวิกฤตินี้อย่างไร” บทสนทนา “วิรไท” ทิ้งท้ายบทบาทผู้ว่า ธปท. - ไทยรัฐ"
Post a Comment