
โดยประโยชน์ของการรวมหนี้ คือ ลูกหนี้จะได้รับอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลง เช่น ดอกเบี้ยบัตรเครดิตปัจจุบันดอกเบี้ยอยู่ที่ 16% ต่อปี แต่พอนำมารวมกับสินเชื่อบ้าน ซึ่งมาตรการนี้กำหนดให้ใช้อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายย่อยชั้นดี หรือ MRR (Minimum Retail Rate - อัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารพาณิชย์เรียกเก็บจากลูกค้ารายย่อยชั้นดี เช่น สินเชื่อส่วนบุคคล สินเชื่อที่อยู่อาศัย สินเชื่อบัตรเครดิต) ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 6% ต่อปีเท่านั้น นอกจากนี้ยังสามารถขยายระยะเวลาการชำระหนี้ตามความสามารถของลูกหนี้ โดยที่ไม่เสียประวัติข้อมูลเครดิตแถมยังสามารถใช้วงเงินบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลหมุนเวียนที่ยังเหลือได้ เรียกได้ว่าลดแลกแจกแถมจากผลกระทบการระบาดของโรคโควิด-19
ในส่วนของธนาคารพาณิชย์ ยืนยันว่ามาตรการนี้ได้รับผลประโยชน์ทั้ง 2 ฝ่าย โดยธนาคารได้แปลงหนี้ที่ไม่มีหลักประกันมาเป็นหนี้มีหลักประกัน ความเสี่ยงของหนี้ลดน้อยลงแต่ก็แลกกับรายได้ดอกเบี้ยลดลง ซึ่งคาดว่าจนจบมาตรการในปีหน้าจะมีลูกค้าเข้าร่วมโครงการประมาณ 20% จากยอดสินเชื่อคงค้างบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลประมาณ 400,000 ล้านบาท อาจทำให้รายได้จากดอกเบี้ยรับ ลดลงประมาณ 1.67% แต่ถือว่า win-win ทั้งคู่
นอกจากนี้ยังมีรายงานว่าช่วงที่ไตรมาส 2 ที่ผ่านมามีการระบาดของโรคโควิด-19 รุนแรงในไทย พบว่ามีหนี้เสีย หรือ NPL มีปริมาณเพิ่มขึ้นเป็น 3.09% ซึ่งเพิ่มขึ้นไม่มากจากช่วง 3 เดือนแรกของปี ซึ่งเป็นผลมาจากธนาคารพาณิชย์เร่งปรับโครงสร้างหนี้ให้กับลูกค้าที่จ่ายหนี้ต่อไม่ไหว โดยไตรมาสที่ 2 ที่ผ่านมามี NPL คงค้างในระบบประมาณ 100,000 ล้านบาท ดังนั้นมาตรการรวมหนี้ครั้งนี้ใครที่รู้ตัวว่าหมุนเงินจ่ายไม่ทันให้รีบแสดงความประสงค์เข้าร่วมโครงการทันที
"จะต้องเป็น" - Google News
September 01, 2020 at 09:42AM
https://ift.tt/32MAwg9
ต้องรู้..ใครบ้างเข้าข่ายโครงการแก้หนี้ - ช่อง 7
"จะต้องเป็น" - Google News
https://ift.tt/3bIgTZQ
Mesir News Info
Israel News info
Taiwan News Info
Vietnam News and Info
Japan News and Info Update
https://ift.tt/2YEtTvL
Bagikan Berita Ini
0 Response to "ต้องรู้..ใครบ้างเข้าข่ายโครงการแก้หนี้ - ช่อง 7"
Post a Comment