Search

ปตท.แห่งอนาคต ในมือของ “อรรถพล ฤกษ์พิบูลย์” - ไทยรัฐ

tablo.prelol.com

ส่วนตัว T ถัดมา มาจาก Technology for All ก็คือการนำเทคโนโลยีมาใช้ในทุกองคาพยพ ตั้งแต่การยกระดับดูแลสังคมจากเดิมที่จะเป็นเพียงการนำสิ่งของไปแจก โดย ปตท.จะใช้ความต้องการตลาดเป็นตัวตั้ง แล้วมองว่าจะมีเทคโนโลยีใดมาใช้เพื่อตอบสนองตลาดหรือสังคมได้บ้าง จะไม่ใช้วิธีการแจกของให้ประชาชนเพียงอย่างเดียว แต่ต้องเข้าไปช่วยให้เขาเหล่านั้นยืนอยู่ได้ด้วยขาของตัวเอง

หรือการใช้เทคโนโลยีในการจัดซื้อจัดจ้างทำให้โปร่งใส เน้นการตรวจจับและเตือนก่อนที่จะเกิดการรั่วไหล (Detect Early Warning) ตลอดจนการใช้ปัญญาประดิษฐ์ หรือ (Artificial Intelligence) ในการคาดเดาการทำงานของเครื่องจักร (Predictive Maintenance) ดูจังหวะและรูปแบบการทำงานของเครื่อง หากพบความผิดปกติแม้เพียงเล็กน้อยให้แก้ไขก่อนเครื่องจักรพัง เพราะหากรอให้เครื่องพังแล้ว จะต้องหยุดการทำงานมากกว่า 10 วัน

และการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลมาควบรวมการจัดซื้อจัดจ้างวัสดุอุปกรณ์ที่เหมือนกันของบริษัทในเครือให้แล้วเสร็จในครั้งเดียว เพื่อลดต้นทุน เป็นต้น

ส่วน T กลยุทธ์สุดท้ายมาจาก Transparency and Sustainability เน้นสร้างความโปร่งใสและความยั่งยืน ภายใต้แนวคิดฝัง DNA ให้กับพนักงานทั้ง 3 มิติ ได้แก่ 1.Performance (การทำงาน) ต้องเป็นเลิศ 2.โลกต้องรักษ์ และ 3.สังคมไทยต้องอุ้มชู

เปิดยุทธศาสตร์รับมือศึกรอบด้าน

ต่อความเปลี่ยนแปลงภายใต้สถานการณ์โลก การถูกท้าทายจากพลังงานรูปแบบใหม่ๆ และราคาในช่วงขาลง อรรถพลบอกว่า กลยุทธ์ในการลงทุนต้องเปลี่ยนแปลงไปตามกระแสโลก โดยธุรกิจต้นน้ำ หรือ Upstream ปตท.จะให้ความสำคัญกับธุรกิจก๊าซธรรมชาติเหลว (แอลเอ็นจี) รวมทั้ง Gas to Power หรือการเชื่อมต่อระหว่างธุรกิจก๊าซธรรมชาติเพื่อไปผลิตไฟฟ้าในต่างประเทศ เนื่องจากมองว่าแอลเอ็นจี จะเป็นพลังงานที่สำคัญในช่วงการเปลี่ยนผ่านจากน้ำมันไปสู่ไฟฟ้า

“เรามองว่าอย่างไร รถยนต์ไฟฟ้าต้องมาแน่ แต่คงไม่ใช่ในเร็วๆนี้ ต้องใช้เวลาอีก 5–10 ปีข้างหน้า ระหว่างรอช่วงเปลี่ยนผ่าน จากน้ำมันสู่ไฟฟ้า เราเชื่อว่าแอลเอ็นจีจะมา เพราะ 1.เป็นพลังงานสะอาด 2.ถูกค้นพบมากขึ้น และ 3.มีเทคโนโลยีรองรับ เราจึงจะมุ่งหน้าไปทางนั้น ซึ่งเป็นทิศทางของโลกด้วย”

โดย ปตท.กำหนดเป้าหมายผลักดันประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางการค้าแอลเอ็นจีในภูมิภาคนี้ จึงต้องเร่งทำการตลาด รวมทั้งปรับโครงสร้างองค์กรในอนาคต

สำหรับบริษัทในเครืออย่างบริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ.ต้องเน้นการบริหารต้นทุนต่อหน่วยให้ต่ำที่สุด หลังจากเข้าซื้อกิจการแหล่งปิโตรเลียมหลายแห่งในช่วงที่ผ่านมา เพื่อให้สามารถอยู่รอดได้ในภาวะราคาน้ำมันตกต่ำรวมทั้งการซื้อปิโตรเลียมในต่างประเทศและขายต่อทันทีในตลาดโลกเพื่อทำกำไรผ่านธุรกิจเทรดดิ้ง

ขณะเดียวกัน ปตท.ต้องหันไปให้ความสำคัญกับธุรกิจไฟฟ้าให้มากขึ้นเพราะเป็นเทรนด์โลก การแสวงหาโอกาสในการขยายการลงทุนไปต่างประเทศ รวมทั้งหาตลาดต่างประเทศมากกว่า เพราะขณะนี้ไฟฟ้าในประเทศล้นตลาด

ส่วนธุรกิจปลายน้ำหรือ Downstream อาทิ ธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันตั้งเป้าหมายว่าจะต้องเป็นโรงกลั่นน้ำมันที่สามารถทำธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้ว่าจะอยู่ในช่วงธุรกิจขาลง จากความต้องการใช้น้ำมันในอนาคตที่มีแนวโน้มลดลง ปตท.ยังจะต้องเป็นบริษัทหัวแถว หากจำเป็นต้องปิดโรงกลั่นก็ต้องปิดให้ช้าที่สุด

จึงเป็นที่มาในการลงทุนโครงการพลังงานสะอาด (CFP) ของบริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพโรงกลั่น ทำให้สามารถกลั่นน้ำมันได้เพิ่มขึ้นเป็น 400,000 บาร์เรล/วัน จากปัจจุบัน 275,000 บาร์เรล/วัน เป็นต้น

ขณะที่ธุรกิจปิโตรเคมีภายใต้บริษัทพีทีที โกลบอลเคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือจีซีนั้น เชื่อมั่นว่าธุรกิจนี้ยังไปได้ด้วยดี ทั่วโลกมีความต้องการใช้เพิ่มมากขึ้น ส่วนราคาเปลี่ยนแปลงตามวัฏจักร ในช่วงที่ตลาดไม่ดี บริษัทลูกในธุรกิจนี้ต้องอยู่รอดได้ โดยมีการลงทุนปรับปรุงเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตเพื่อลดต้นทุน

รวมทั้งลงทุนต่อยอดไปสู่ผลิตภัณฑ์พลาสติกเกรดพิเศษเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งการดูโอกาสในการเข้าซื้อหรือควบรวมกิจการ (M&A) ในช่วงธุรกิจขาลงซึ่งเป็นจังหวะที่เหมาะกับการเข้าซื้อกิจการด้วย

ธุรกิจแห่งอนาคต New S–Curve

ปีนี้ ปตท.มีแผนใช้เงินลงทุนในเรื่องดิจิทัลที่เกี่ยวข้องกับพลังงานเพื่อเป็นธุรกิจแห่งอนาคต (New S–Curve) อาทิ เทคโนโลยีโซลาร์เซลล์ เพราะใช้เงินไม่มากนัก ถ้าเทียบกับการลงทุนของบริษัทที่เป็น Capital Investment แต่สามารถช่วยให้ ปตท.มีเทคโนโลยีใหม่ๆนำมาใช้และต่อยอดธุรกิจได้ในอนาคต

ขณะเดียวกัน ในเรื่องของการสำรวจและผลิตปิโตรเลียม ธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันปิโตรเคมีและธุรกิจเทรดดิ้งจะให้ความสำคัญในธุรกิจที่ไม่ใช่ธุรกิจน้ำมัน (Non-oil) ที่ปัจจุบันคิดเป็นสัดส่วน 20% ของรายได้ ซึ่ง ปตท.จะให้ความสำคัญกับการเพิ่มยอดขายที่ไม่ใช่น้ำมัน โดยการที่จะทำแบบนี้ได้ต้องทำให้สถานีบริการน้ำมันของ ปตท.เป็นแพลตฟอร์มในการเข้ามาค้าขายและเข้ามาซื้อสินค้าบริการต่างๆที่อยู่ในสถานีบริการน้ำมันให้มากขึ้น

“ปตท.จะให้ความสำคัญและลงทุนในธุรกิจ New Energy หรือโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน ในทวีปเอเชียแปซิฟิกตามเทรนด์การใช้ไฟฟ้าของโลก โดยเป้าหมายแรกมีกำลังการผลิต 8,000 เมกะวัตต์ในปี 2573 รวมทั้งการพัฒนานวัตกรรมด้านพลังงานหมุนเวียนและพลังงานไฟฟ้ารูปแบบใหม่ที่เกี่ยวเนื่อง รวมทั้งธุรกิจอื่นๆที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้สอดคล้องกับแนวโน้มความต้องการใช้น้ำมัน ที่ลดลงต่อเนื่อง”

ยกตัวอย่างเช่นในปี 2564 โรงงานผลิตแบตเตอรี่ของบริษัท โกลบอลเพาเวอร์ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือจีพีเอสซีที่ร่วมกับบริษัท ไทยทากาซาโก จำกัด ของญี่ปุ่นในการก่อสร้างจะแล้วเสร็จ คาดว่าจะสามารถทดลองในรูปแบบนำร่องได้ก่อนที่จะดูการตอบรับของผู้บริโภคว่าเป็นอย่างไร ก่อนวางจำหน่ายในเชิงพาณิชย์

New S–Curve ของ ปตท. จะใช้ศักยภาพของบุคลากรที่มีอยู่ ไปร่วมมือกับหน่วยงานที่อาจไม่เกี่ยวกับพลังงาน อาทิ โครงการผลิตยาต้านมะเร็งที่กำลังดำเนินการร่วมกับองค์การเภสัชกรรม นอกจากนั้นในอนาคต ปตท. มองการต่อยอดไปสู่การร่วมลงทุนของเครือ ปตท.แทนที่แต่ละบริษัทจะตั้งโรงงานผลิตเป็นของตนเอง

ปตท.เตรียมพร้อมจ้างงานเพิ่ม

ส่วนการรับมืออุปสรรคอันเกิดจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 นั้น ได้วางแผนทั้งระยะสั้นและระยะยาว จัดตั้งศูนย์ PTT Group Vital Center เพื่อรักษาเสถียรภาพมั่นคงทางพลังงาน นำคู่ค้าและพันธมิตรเดินหน้ากลับสู่การดำเนินงานในภาวะปกติให้ได้เร็วที่สุด

ส่งผลให้ ปตท.และบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิในครึ่งแรกของปีนี้ 10,499 ล้านบาท ลดลง 44,751 ล้านบาท เมื่อเทียบกับครึ่งแรกของปีก่อนหน้า ส่วนแผนการลงทุนวางเป้าหมายไว้ที่ 53,900 ล้านบาท ครึ่งแรกของปีใช้เงินลงทุนไปแล้ว 50% เหลืออีก 50%

“ยืนยันได้ว่า ปตท.ยังแข็งแกร่ง ดำรงบทบาทกระตุ้นเศรษฐกิจประเทศตามนโยบายของรัฐบาลเต็มที่ ตลอด 40 ปีที่ผ่านมา ปตท.ผ่านมาได้ทุกวิกฤติ ตั้งแต่ต้มยำกุ้ง แฮมเบอร์เกอร์ เราแข็งแกร่งและรับการเปลี่ยนแปลงได้ทุกสถานการณ์”

“เรายังพร้อมจ้างงานทั้งในส่วนของแรงงานปกติที่ตกงานและแรงงานที่กำลังจบการศึกษาในปีนี้รวม 400,000 คน แต่ยังไม่ได้ข้อสรุปว่าจะรับเป็นจำนวนเท่าใด กำลังให้บริษัทในเครือทั้งหมดสำรวจข้อมูลอยู่ว่าจะรับได้เท่าใด โดยขณะนี้ ปตท.มีพนักงาน ปตท.กว่า 3,700 คน พนักงานในกลุ่ม ปตท. อีก 10,000 คน พนักงานสัญญาจ้าง 12,000 คน และพนักงานที่เกิดจากผู้รับเหมาก่อสร้างโครงการต่างๆ รวมๆกันแล้วประมาณ 100,000 คน ซึ่งจะไม่มีการปลดคนงานกลุ่มนี้อย่างแน่นอน”

อรรถพลทิ้งท้ายและให้คำมั่นว่า 4 ปีนับจากนี้ไป เป็นภาระหน้าที่ของเขาในการปรับทัศนคติของพนักงาน ให้รับมือกับการเปลี่ยนแปลงของโลกยุคใหม่ นำพา ปตท. พร้อมผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียก้าวข้ามวิกฤติครั้งใหญ่ เติบโต แข็งแรงในฐานะบริษัทพลังงานแห่งชาติต่อไปให้ได้.

ทีมเศรษฐกิจ

Let's block ads! (Why?)



"จะต้องเป็น" - Google News
August 31, 2020 at 05:05AM
https://ift.tt/34Kma2k

ปตท.แห่งอนาคต ในมือของ “อรรถพล ฤกษ์พิบูลย์” - ไทยรัฐ
"จะต้องเป็น" - Google News
https://ift.tt/3bIgTZQ
Mesir News Info
Israel News info
Taiwan News Info
Vietnam News and Info
Japan News and Info Update
https://ift.tt/2YEtTvL

Bagikan Berita Ini

0 Response to "ปตท.แห่งอนาคต ในมือของ “อรรถพล ฤกษ์พิบูลย์” - ไทยรัฐ"

Post a Comment

Powered by Blogger.