Search

คอลัมน์ผู้หญิง - การเป็นแม่นมให้ลูกสุนัขและลูกแมวกำพร้า - หนังสือพิมพ์แนวหน้า

tablo.prelol.com

เมื่อพูดถึง “การเป็นแม่นมให้ลูกสุนัขและลูกแมวกำพร้า” นั้น หลายท่านคงสงสัยว่าสถานการณ์ใดบ้างที่เราต้องเริ่มทำหน้าที่แม่นมให้กับลูกสัตว์กำพร้าเหล่านั้น หลักการของการเป็นแม่นมคืออะไร ขั้นตอนและวิธีการเป็นแม่นมมีอะไรบ้าง วันนี้ผมมีรายละเอียดและข้อมูลสำคัญๆ โดย สพ.ญ.ดร.ฉัตรวลี บุญธรรม ให้ผู้อ่านได้ทราบ เผื่อว่าจะมีโอกาสต้องเป็นแม่นมให้ลูกสัตว์โดยบังเอิญ จะได้เข้าใจวิธีการ และช่วยเพิ่มอัตราการรอดชีวิตของลูกสัตว์กำพร้าได้ครับ

@กรณีใดบ้างที่เราต้องทำหน้าที่แม่นมให้สัตว์


สถานการณ์ที่เราต้องพบเจอลูกสัตว์กำพร้าและทำให้เราต้องกลายเป็นแม่นม ได้แก่

- การที่แม่สัตว์มาคลอดลูกทิ้งไว้ แล้วไม่ยอมเลี้ยงลูก หรือ

- การที่แม่สาวที่เพิ่งเคยคลอดลูกครอกแรก แต่เลี้ยงลูกไม่เป็น

- การที่แม่สัตว์ตายหลังคลอด

- การที่แม่สัตว์ป่วย หรือมีความจำเป็นที่จะต้องได้รับการรักษาด้วยยาอันตราย ที่สามารถถ่ายทอดทางน้ำนมได้ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อลูก เป็นต้น

@หลักของแม่นมสัตว์ในการดูแลมีอะไรบ้าง?

สำหรับหลักการสำคัญในการเป็นแม่นม มีเพียง 3 ข้อ ที่จำง่ายๆ สั้นๆ ว่า “อุ่น อิ่ม อึ” ซึ่งขอลงรายละเอียดให้เข้าใจง่ายๆ ดังนี้

1.“อุ่น” มาจากความอบอุ่น ซึ่งเป็นหลักการข้อแรกที่สำคัญ เนื่องจากลูกสัตว์ที่เกิดใหม่จะมีอุณหภูมิร่างกายที่ค่อนข้างต่ำ และอยู่ในช่วงการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิจากในท้องแม่มาสู่อุณหภูมิของโลกภายนอก ความอบอุ่นจึงเป็นสิ่งจำเป็นมาก (เห็นได้ทั่วไปจากการที่แม่สุนัขหรือแมวที่นอนขดตัวเพื่อให้ความอบอุ่นแก่ลูก หรือแม่ไก่ที่นั่งกกไข่หรือลูกเจี๊ยบนั่นเอง)

ตามโรงพยาบาลสัตว์หรือคลินิกรักษาสัตว์ มักจะใช้ตู้ควบคุมอุณหภูมิ  แต่เราสามารถทำได้ด้วยการใช้โคมไฟอ่านหนังสือที่มีแสงนวลๆ (ไม่ใช่หลอดไฟ LED นะครับ) หลอดไฟประเภทนี้จะทำให้เกิดความร้อน ซึ่งสามารถนำมาใช้ให้เกิดความอบอุ่นได้

หลักการสำคัญที่สุดในการกกก็คือ การดูแลอุณหภูมิให้กับลูกสัตว์ในช่วงแรก เพื่อรักษาระดับการทำงานของหัวใจและระบบไหลเวียนเลือดของลูกสัตว์ให้ทำงานได้ปกติ

สิ่งที่ต้องระวังในการกกไฟคือ

- อุณหภูมิต้องไม่สูงเกินไป เพราะจะสามารถทำให้เกิดอันตรายกับผิวหนังลูกสัตว์ได้ ทำให้ผิวหนัง (ที่บอบบาง) ไหม้ เกิดเป็นแผล และติดเชื้อ ซึ่งสามารถเสียชีวิตในที่สุด ในกรณีที่ใช้ตู้ควบคุมอุณหภูมิสำหรับอบลูกสัตว์ ก็ควรตั้งอุณหภูมิที่ 37-38 องศาเซลเซียส

เราสามารถตรวจสอบความร้อนแบบง่ายที่สุดเลยก็คือ ลองทดสอบความร้อนด้วยหลังมือของเราเอง ว่าร้อนจนเกินไปหรือไม่ และให้สังเกตอาการลูกสัตว์ว่าอยู่ได้อย่างสบาย ไม่กระวนกระวาย หรือพยายามคลานหนีจากตำแหน่งไฟกกหรือไม่ หากร้อนเกินไปเราก็ปรับไฟกกให้ห่างจากตัวลูกสัตว์

- ต้องระวังเรื่องการลัดวงจรของไฟฟ้า ซึ่งอันตรายทั้งลูกสัตว์และคนในบ้านเลยทีเดียว

- ระวังอันตรายจากอุบัติเหตุ การกระแทก หรือการร่วงหล่นของโคมไฟใส่ลูกสัตว์ แล้วเกิดการบาดเจ็บ หรือเกิดการลุกไหม้ได้

2.“อิ่ม” เป็นหลักการข้อที่สอง นั่นคือเรื่องของความอิ่มในการกิน ลูกสัตว์แรกเกิดควรได้รับน้ำนมทดแทนน้ำนมแม่สัตว์อย่างเพียงพอ โดยนมที่เลือกใช้ในลูกสัตว์แรกเกิดควรเป็นนมที่ผลิตมาเพื่อทดแทนน้ำนมแม่โดยเฉพาะ กรณีหาไม่ได้ อาจใช้นมแพะ ควรหลีกเลี่ยงนมวัวเพื่อลดโอกาสเสี่ยงการเสียชีวิตจากการท้องเสีย/ท้องอืด

โดยปกติในช่วง 24 ชั่วโมงแรกหลังเกิด ลูกสัตว์ควรได้รับนมน้ำเหลือง (colostrum) จากแม่ ซึ่งเป็นนมที่มีภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติจากแม่สัตว์ส่งต่อถึงลูก (ช่วงเวลาไม่เกิน 1-2 วันแรกหลังคลอดนั้น ลำไส้ของลูกจะสามารถดูดซึมภูมิคุ้มกันเหล่านี้เข้าไปได้แต่หลังจากนั้น ก็จะดูดซึมไปใช้ไม่ได้แล้ว) เราจึงพบว่าลูกสัตว์กำพร้าที่ไม่ได้รับนมน้ำเหลืองจากแม่ เมื่อเติบโตมามักจะมีภูมิคุ้มกันที่ต่ำกว่า ซึ่งสามารถติดโรคต่างๆ ได้ง่ายกว่าลูกสัตว์ทั่วไป

การป้อนนมลูกสัตว์กำพร้ามีหลักการคือ “ป้อนทีละน้อย แต่บ่อยครั้ง” โดยปกติแล้วควรป้อนทุก 2-3 ชั่วโมง อุปกรณ์ที่ใช้ป้อนนมก็ควรใช้ขวดนมสำหรับลูกสัตว์โดยเฉพาะและเลือกจุกนมให้มีขนาดเหมาะสมกับปากของสัตว์ หากลูกสัตว์ยังดูดไม่เป็น ก็อาจต้องใช้ไซริงค์หรือกระบอกฉีดยา (ที่ประยุกต์ด้วยการติดปลายด้วยยางนิ่มๆ เช่นไส้ไก่ยางในของรถจักรยาน) ใช้ป้อนลูกสัตว์ก็ได้

สำหรับปริมาณน้ำนมที่เหมาะสมนั้น ขึ้นกับขนาดตัวของลูกสัตว์ ลูกสัตว์จะกินไม่มาก และจะหยุดกินเองเมื่ออิ่มท้อง หรือเราจะสังเกตได้จากลักษณะของท้องที่ขยายขนาดขึ้นก็ได้

ข้อควรระวังในการป้อนนมคือ

- ชนิดของนมตามที่ได้กล่าวมาแล้ว

- ความสะอาดและการปนเปื้อนแบคทีเรียในนมที่ชงทิ้งไว้ (นมบูด)

- อุณหภูมิของนมที่ให้กิน ต้องอุ่นพอควรเพื่อป้องกันภาวะท้องอืดจากการกินนมที่เย็นเกินไป และไม่ร้อนเกินไปจนเกิดการลวกปากและทางเดินอาหาร ซึ่งเราสามารถทดสอบความอุ่นได้ โดยลองหยดนมมาที่หลังมือของเรา

- การสำลักจากการป้อนนมในปริมาณมากและเร็วเกินไป หรือการเจาะรูที่จุกนมใหญ่เกินไปทำให้ลูกสัตว์กลืนไม่ทัน และสำลักนมเข้าปอด เกิดการติดเชื้อ และตายได้ทันที

- การเจาะรูที่จุกนมเล็กเกินไป ก็จะทำให้ลูกสัตว์ดูดนมไม่ได้

3.“อึ” หลักการข้อที่สามคือเรื่องของการขับถ่ายของเสีย (ทั้งอุจจาระและปัสสาวะ)  การขับถ่ายนั้นเป็นสิ่งสำคัญที่ควรคำนึงถึงเสมอว่า  ทุกครั้งที่ลูกสัตว์ได้รับน้ำนมจะต้องมีการขับถ่ายควบคู่กันไป 

ในภาวะปกติ เราจะเห็นว่าแม่สัตว์จะเลียทำความสะอาดตัวลูกสัตว์ โดยเลียบริเวณอวัยวะเพศและทวารเพื่อกระตุ้นลูกสัตว์ให้ขับถ่ายอุจจาระและปัสสาวะออกมา สำหรับลูกสัตว์กำพร้า แม่นมต้องช่วยกระตุ้นการขับถ่ายแทนแม่สัตว์ด้วยการใช้ “สำลีชุบน้ำอุ่น” เช็ดบริเวณอวัยวะเพศและทวารหนักทดแทนการเลียของแม่สัตว์

ข้อควรระวังในการกระตุ้นการขับถ่ายคือ

- ต้องทำทุกครั้งหลังป้อนนมลูกสัตว์

- ควรให้เวลากับการกระตุ้นการขับถ่ายในลูกสัตว์ด้วย เนื่องจากลูกสัตว์บางตัวจะใช้เวลาค่อนข้างนานในการกระตุ้นการขับถ่าย

- ไม่จำเป็นต้องทำด้วยความรุนแรงแต่ใช้ความอุ่นของน้ำที่ชุบสำลีในการกระตุ้นให้เกิดการขับถ่าย

- หากลูกสัตว์ไม่ยอมขับถ่าย ควรพาไปพบสัตวแพทย์โดยเร็ว

 ทั้งหมดที่กล่าวมานั้น เป็นหลักการเบื้องต้นในการเป็นแม่นมให้ลูกสัตว์กำพร้า ซึ่งหากเราทราบข้อมูลดังนี้แล้ว เราทุกคนก็สามารถช่วยเหลือลูกสัตว์กำพร้าให้มีโอกาสรอดชีวิตได้มากขึ้น และเมื่อโตขึ้นจนมีอายุครบสำหรับให้วัคซีนแล้วละก็ อย่าลืมพาสัตว์เลี้ยงไปพบสัตวแพทย์เพื่อเริ่มโปรแกรมวัคซีนด้วยนะครับ เพราะว่าลูกสัตว์กำพร้ามีภูมิคุ้มกันค่อนข้างต่ำกว่าปกติ วัคซีนจึงเป็นช่องทางสำคัญที่สามารถช่วยป้องกันลูกสัตว์จากโรคติดเชื้อต่างๆ ได้ครับ

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายสัตวแพทย์ ดร.ทิลดิสร์ รุ่งเรืองกิจไกร

ฝ่ายประชาสัมพันธ์ คณะสัตวแพทยศาสตร์

จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

Let's block ads! (Why?)



"จะต้องเป็น" - Google News
August 30, 2020 at 02:00AM
https://ift.tt/32BioWq

คอลัมน์ผู้หญิง - การเป็นแม่นมให้ลูกสุนัขและลูกแมวกำพร้า - หนังสือพิมพ์แนวหน้า
"จะต้องเป็น" - Google News
https://ift.tt/3bIgTZQ
Mesir News Info
Israel News info
Taiwan News Info
Vietnam News and Info
Japan News and Info Update
https://ift.tt/2YEtTvL

Bagikan Berita Ini

0 Response to "คอลัมน์ผู้หญิง - การเป็นแม่นมให้ลูกสุนัขและลูกแมวกำพร้า - หนังสือพิมพ์แนวหน้า"

Post a Comment

Powered by Blogger.