
สถานการณ์การชุมนุมของกลุ่มนิสิต นักศึกษา ลามถึงนักเรียนระดับมัธยมศึกษา จุดติดไปเรียบร้อยแล้ว แต่อานุภาพพอที่จะเขย่ารัฐบาล และไปจนถึงปลายทางข้อเรียกร้องได้หรือไม่นั้น ทีมการเมืองเดลินิวส์ ถือโอกาสสนทนากับ “ดร.สติธร ธนานิธิโชติ” ผอ.สำนักนวัตกรรมเพื่อประชาธิปไตย สถาบันพระปกเกล้า มาวิเคราะห์กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้
โดย “ดร.สติธร” เปิดฉากชี้ประเด็นว่า การที่นักศึกษา นักเรียน ออกมาชุมนุมกันจำนวนมากในรอบนี้ มีลักษณะคล้ายกับการชุมนุมทางการเมืองของคนรุ่นใหม่ เมื่อ 14 ตุลาคม 2516 และ 6 ตุลาคม 2519 คือ ไม่ว่าจะยุคสมัยไหนก็จะมีเยาวชน คนรุ่นใหม่ที่มีความเจ็บปวดลุกขึ้นมาต่อสู้ โดยเนื้อหาข้อเรียกร้องไม่ค่อยมีความแตกต่างกัน ซึ่งมุ่งไปที่เรื่องของเสรีภาพ ประชาธิปไตย
การชุมนุมหรือม็อบรุ่นนี้ เทียบกับยุค 14 ตุลาฯ จะมีสภาพแวดล้อม บริบททางสังคมของคนสองยุคนี้คล้ายกันตรงที่ ก่อนจะเกิดเหตุการณ์ 14 ตุลาฯ ประเทศไทยตกอยู่ในระบอบเผด็จการ ไม่มีรัฐธรรมนูญมาเป็น 10 ปี คนรุ่นใหม่ขณะนั้นก็เติบโตมาในยุคที่ถูกจำกัดสิทธิเสรีภาพ เลยลุกขึ้นมาเรียกร้อง ม็อบนักศึกษายุคนี้ก็เหมือนกัน ที่โตมากับการยึดอำนาจเมื่อปี 2557 เศรษฐกิจ สังคม การเมือง
โดยเฉพาะเรื่องการเมืองถูกจำกัดสิทธิเสรีภาพมากพอสมควร จึงเกิดเป็นพลังความตื่นตัวของคนรุ่นใหม่ขึ้นมา โดยเฉพาะบริบทแวดล้อมยิ่งพาให้เขาถูกกดดันสั่งสมจนทำให้รู้สึกว่าจะต้องเปลี่ยนแปลงประเทศ
ความต่างของ 2 ยุคที่ชัดเจนก็คือ เรื่องการสื่อสารที่ใช้โซเชียล มีเดีย และทำให้เกิดความต่างในเรื่องวิธีการแสดงออก ความต่างอีกอย่างคือในยุค 14 ตุลาฯ จะเป็นการต่อสู้กันระหว่างประชาชน คนรุ่นใหม่ นิสิต นักศึกษา ลุกขึ้นมาต่อสู้กับระบอบ คือ รัฐบาลที่ผูกขาดอำนาจ จำกัดสิทธิ เสรีภาพ
แต่วันนี้ความเห็นของประชาชนมีความเห็นต่างกัน หลายคนก็เห็นต่างกับคนรุ่นใหม่และไม่เห็นด้วยที่คนรุ่นใหม่ออกมา ซึ่งเป็นภาพที่คล้ายกับยุค 6 ตุลา 2519 เข้ามาผสม คือเหตุการณ์ 14 ตุลาฯ จบขบวนการนักศึกษาชนะ แล้วเว้นระยะไปประมาณ 3 ปี ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่คนบอกว่าประชาธิปไตยเบ่งบาน มีการใช้รัฐธรรมนูญ มีการเลือกตั้ง ก่อนที่เกิดกระบวนการโต้กลับขบวนการนักศึกษาเกิดหลังจากนั้น 3 ปี
และรอบนี้การก่อตัวของนักศึกษาขึ้นมาคล้ายกับ 14 ตุลาฯ ซึ่งเป็นผลผลิตของยุคสมัยเช่นเดียวกัน เพราะก่อนหน้านี้ มีความขัดแย้งกันระหว่างเสื้อเหลืองกับเสื้อแดง กปปส. เป็นความขัดแย้งระหว่างฝ่ายเสรีก้าวหน้า กับอีกฝ่ายที่อาจจะกล่าวอ้างว่าปกป้องสถาบัน
จึงกลายเป็นการต่อสู้กันของสองฝ่ายนี้ สืบทอดกันต่อมาพอเกิดกระบวนการนิสิตนักเรียน นักศึกษาขึ้นมา แต่ก็ไม่เป็นเอกภาพในฝ่ายประชาชน ที่จะสู้กับรัฐ แต่เกิดการปะทะกันทางความคิด การแสดงออกของคนสองรุ่นขึ้นมาทันทีคล้าย ๆ 6 ตุลาคม รอบนี้จึงเหมือนการซ้อนภาพ 2 เหตุการณ์ในอดีตรวมกัน
การชุมนุมยุคสมัยนี้จะทำให้สถานการณ์แรงกว่าหรือไม่ เพราะการสื่อสารง่ายและเร็วจากเทคโนโลยี
ไม่เชิงว่าจะทำให้แรงกว่า แต่เทคโนโลยีจะทำให้การสื่อสารเร็วขึ้น ง่ายขึ้น เลยเห็นกระแสพอปลุกติดเร็ว หากไม่นับต้องหยุดไปเพราะโรคโควิด-19 ก็เกิดขึ้นภายในระยะเวลาไม่นาน ลุกลามเป็นไฟลามทุ่ง เพราะมีการสื่อสารเจาะกลุ่ม และจุดติดง่าย แต่สมัยก่อนจะยากเพราะการสื่อสารไม่สะดวก ข้อมูลข่าวสารไหลช้า ต้องใช้เวลาในการก่อตัว แต่ไม่ได้เป็นตัวบอกว่าจะรุนแรงหรือไม่รุนแรง
อย่างไรก็ตาม เรื่องของข้อมูลที่รับรู้ยุคนี้จะปั่นง่าย เพราะการสื่อสารเร็วและง่ายทำให้มีปริมาณข่าวสารออกมามากมาย จนบางครั้งคนยังไม่ทันเสพ หรือเสพไม่ไหว ยกตัวอย่างคนสองฝ่ายที่คิดต่างกัน ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับนักศึกษาที่ชอบพูดถึงเรื่องการละเมิดสถาบัน แต่บางคนอาจจะยังไม่ได้อ่านข้อเรียกร้อง 10 ข้อ ที่เคยถูกเสนอบนเวทีธรรมศาสตร์ ด้วยซ้ำไป และเป็นความปกติระหว่างผู้คน บางครั้งสามารถปั่นกันโดยที่ไม่รู้ข้อมูล เพราะเชื่อไปแล้ว บางคนอาจจะเห็นภาพหนึ่งจากป้ายที่ผู้ชุมนุมถือเพียงแวบเดียว ก็ตัดสินทั้งหมด
ปัจจัยที่จะเป็นจุดเปลี่ยนให้สถานการณ์เป็นไปในทิศทางใด
ตอนนี้อยู่ที่ตัวรัฐบาลโดยตรงเลย เอาแค่ข้อเรียกร้องหยุดคุกคามประชาชน หากยังไล่จับดำเนินคดีแกนนำกลุ่มผู้ชุมนุม ข้อเรียกร้องข้อนี้ก็จะไม่ถูกตอบสนอง เขาก็จะไม่หยุด รวมถึงข้อเรียกร้องการแก้รัฐธรรมนูญ หากไม่มีกระบวนการนี้เปิดขึ้นมาอย่างจริงจัง โอกาสที่เขาจะหยุดก็คงไม่หยุด เพราะไม่มีพื้นที่ให้เขาแสดงออก อย่างที่บอกว่าข้อเรียกร้องไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นทันที แต่เกิดจากการสั่งสมมาตั้งแต่ปี 2557 ที่มีการรัฐประหาร ผ่านการมี “รัฐบาลลุงตู่” มีการร่างรัฐธรรมนูญ มีการเลือกตั้ง
"เขาเหมือนจะอึดอัดคับข้อง แต่ยอมอยู่ในกติกา เพราะยังมีความหวังกับรัฐธรรมนูญ ที่เขาบอกว่าอาจจะร่างมาเพื่อใครก็ไม่รู้ การเลือกตั้งที่อาจจะดูเหมือนเสียเปรียบ แต่ก็มีพรรคการเมืองให้เลือก ถึงแพ้เป็นฝ่ายค้านก็ยังมีรัฐสภาให้ผู้แทนของเขาได้ทำหน้าที่ แต่ตอนนี้ไม่มีแล้วสิ่งที่เคยคาดหวัง ที่เคยฝากความหวังไว้กับระบบกลไกที่เคยมี เขารู้สึกว่าไม่พอ ต้องออกมา ถ้าไม่เปิดพื้นที่ให้เขาเหมือนมีความหวังอีกครั้ง เขาก็จะไปแสดงออก โดยไม่เข้าสู่กระบวนการเสียที"
เพราะฉะนั้นตรงนี้สำคัญแม้จะบอกว่าการแก้รัฐธรรมนูญผ่านระบบรัฐสภา แต่ว่า ระบบรัฐสภาเสียงข้างมาก คือ “รัฐบาล” ฉะนั้นเจ้าภาพหลักก็ต้องเป็น “รัฐบาล” จะโยนไปว่า จะพาไปตั้ง “กรรมาธิการ” ผมเชื่อว่าไม่มีทาง ที่เด็กคนไหนจะมาให้ข้อมูลกับกรรมาธิการ เพราะเขารู้ว่า ไม่ใช่เวทีที่จะตอบโจทย์ เขาได้จริง ต้อง “รัฐบาล” เท่านั้นที่จะต้องเป็นเจ้าภาพ
ขณะนี้เป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ รอวันฟักตัวไปสู่การชุมนุม ใหญ่อีกครั้งในเดือน ก.ย.
ตอนนี้หากยังไม่มีคำตอบที่ดีพอ เดือนก.ย.เขาก็จะมาชุมนุมกันอีกตามที่ได้ประกาศเอาไว้ มีโอกาสที่จะขยายได้อีก เพราะผลที่ตามมาหลังจากการชุมนุมใหญ่เมื่อวันที่ 16 ส.ค. ที่ผ่านมา ผลที่เกิดขึ้นในระยะสั้น แต่ก็ตามมาด้วยการชุมนุมเรียกร้องเชิงสัญลักษณ์ เช่น การร้องเพลงชาติของเด็กนักเรียนที่หน้าเสาธง และติดโบขาว ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นทันที เพราะฉะนั้นระยะเวลาแค่เดือนเศษจึงเป็นการเลี้ยงการชุมนุม แล้วยิ่งไม่มีกระบวนการอะไรออกมาชัดเจน ก็มีแต่จะแรงขึ้น
ประเมินว่าการชุมนุมรอบนี้จะนำไปสู่การรัฐประหารหรือไม่
ต้องบอกว่ามีโอกาส เพราะถ้าเป็นทางออกทางการเมืองแบบไทย ที่มีคนจำนวนหนึ่งนึกถึงเสมอ เมื่อบ้านเมืองมีปัญหา มีคนที่คิดว่ารัฐประหารมันคือทางออก มันคือการผ่าทางตันที่เร็วที่สุด เพื่อเป็นการตัดวงจรไม่ให้ลุกลามบานปลายไปมากกว่านี้ ยังมีคนที่เชื่อแบบนี้อยู่ก็เลยยังเป็นทางเลือกหนึ่ง ที่อยู่ในความคิดของคนที่มีศักยภาพ ของคนที่สามารถทำได้ โดยอาจจะหยิบมาใช้เมื่อไหร่ก็ได้ แน่นอนว่าทำให้ประเทศไทยหลุดพ้นไปจากวังวนที่เป็นอยู่
อย่างไรก็ตาม คิดว่าคงไม่ขนาดนั้นเพราะรัฐประหาร พ.ศ. นี้ไม่เหมือนกับยุคที่ผ่าน ๆ มา ไม่ง่ายเหมือนที่ผ่าน ๆ มา สถานการณ์ที่จะสุกงอมถึงขณะที่รัฐประหารออกมาต้องมีบรรยากาศเหตุการณ์อะไรบางอย่างที่สามารถใช้การรัฐประหารมาเป็นข้ออ้างแล้ว อย่างน้อยมีคนกลุ่มหนึ่งที่รู้สึกว่าโอเค ทหารออกมาก็ดีแล้ว เป็นคนขี่ม้าขาวออกมาช่วย ต่อให้ไม่มีใครเรียกให้ออกมา แต่ถ้าออกมาแล้วมีคนกลุ่มหนึ่งออกมายอมรับก็จบ
แต่ถ้าเกิดรอบนี้สถานการณ์ยังไม่สุกงอมแล้วไปชิงทำรัฐ ประหาร ก็อาจจะไม่ง่ายนัก เพราะว่าคนต่อต้าน ถ้าคนเชียร์ คนที่เห็นด้วยกับการทำรัฐประหาร ไม่แสดงออกชัด ๆ คนที่เขาไม่เห็นด้วยเขาจะออกแรงต้านได้เต็มที่ ต่อให้ทำรัฐประหารจริงแรงต้านจะสูงมาก แต่สิ่งที่ฝากถึงทุกฝ่ายเอาไว้เสมอ คือ บ้านเมืองยังมีทางออกอีกเยอะ ไม่ต้องรีบ อย่าใจร้อน ฟังกันเยอะ ๆ.
"จะต้องเป็น" - Google News
August 22, 2020 at 10:36AM
https://ift.tt/34zRaSL
วิกฤติเดือนตุลาฯหลอน"เรือเหล็ก" - เดลีนีวส์
"จะต้องเป็น" - Google News
https://ift.tt/3bIgTZQ
Mesir News Info
Israel News info
Taiwan News Info
Vietnam News and Info
Japan News and Info Update
https://ift.tt/2YEtTvL
Bagikan Berita Ini
0 Response to "วิกฤติเดือนตุลาฯหลอน"เรือเหล็ก" - เดลีนีวส์"
Post a Comment